รอง ผบช.น.ชี้คดีตรวจค้นอาวุธสงครามที่แฟลตเอื้ออาทร คลองสามวา โยงคดี จ.ส.ต.เสื้อแดงขนอาวุธ ซึ่งขณะนี้ถูกควบคุมตัวอยู่ในคุก ไม่เชื่อมโยงปัญหาความรุนแรงภาคใต้ เตรียมประสานดีเอสไออายัดตัวดำเนินคดีเพิ่มข้อหาหนัก ด้าน อดีตรองผู้ว่าฯ อุบลฯ เจ้าของห้องให้การปฏิเสธไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง เจอกองทัพนักข่าวรีบเผ่นแนบ!!!
วันนี้ (9 ต.ค.) ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ต.ปริญญา จันทร์สุริยา รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจพบอาวุธสงครามซึ่งเป็นเครื่องกระสุนกว่า 10,000 นัด ภายในภายในแฟลตเอื้ออาทร ถนนปัญญา-รามอินทรา เมื่อคืนที่ผ่านมาว่า ล่าสุดทีมสืบสวนรู้ตัวเจ้าของเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวแล้ว คือ จ.ส.ต.ปริญญา มณีโคตม์ อดีตตำรวจ สภ.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ซึ่งเป็นผู้ต้องหาครอบครองอาวุธสงคราม และถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมได้บริเวณทางลงโทลล์เวย์ ย่านอนุสรณ์สถาน เมื่อปี 2553 ในช่วงที่มีการชุมนุมทางการเมือง ส่วนสาเหตุที่ทำให้เจ้าหน้าที่รู้ตัวผู้ครอบครองเครื่องกระสุนดังกล่าวนั้น เนื่องจากขณะเข้าตรวจค้นห้องพักที่พบเครื่องกระสุนนั้น เจ้าหน้าที่พบเอกสารในกล่องกระดาษมีเอกสารขออนุญาตนำแรงงานต่างด้าวเข้ามาทำงานในราชอาณาจักร ซึ่งเป็นงานเกี่ยวกับการก่อสร้าง และมีการลงลายมือชื่อของ จ.ส.ต.ปริญญาด้วย ซึ่งขณะนี้พนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขออายัดตัวจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ เพื่อแจ้งข้อหาต่อ จ.ส.ต.ปริญญาเพิ่มเติมในข้อหามีเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
พล.ต.ต.ปริญญากล่าวถึงความคืบหน้าเหตุการณ์ดังกล่าวว่า วันนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะเชิญตัวเจ้าของห้องเช่าห้องดังกล่าว คือ อดีตรองผู้ว่าราชการจังหวัดหนึ่งที่เกษียณราชการแล้ว มาพบที่ สน.คันนายาว เวลา 14.00 น. รวมทั้งจะติดตามผู้เช่าและผู้ดูแลอาคารมาสอบปากคำทั้งหมด ซึ่งอาจจะมีความคืบหน้ามากขึ้น
พล.ต.ต.ปริญญากล่าวว่า จากการตรวจสอบอาวุธสงครามทั้งปืนและเครื่องกระสุนหลายชนิดนั้นพบว่าอยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานและเป็นของใหม่ แต่น่าจะเป็นการนำมาเก็บซุกซ่อนไว้นานแล้ว เนื่องจากกล่องที่บรรจุอาวุธไว้ถูกปลวกแทะกินจำนวนมาก แต่ตัวอาวุธมีการเก็บรักษาอย่างดีบรรจุในลังและปิดด้วยถุงพลาสติกอีกชั้นหนึ่ง
พล.ต.ต.ปริญญากล่าวอีกว่า ส่วนอาวุธสงครามที่พบจะเกี่ยวข้องกับความไม่สงบในพื้นที่กรุงเทพฯ พื้นที่ใกล้เคียงนั้น เท่าที่ทราบไม่น่าจะเกี่ยวข้องกันและคิดว่าน่าจะเป็นการค้าอาวุธสงครามมากกว่า ซึ่งอาวุธสงครามที่ตรวจพบนั้นถ้านำมาใช้ในการก่อเหตุก็น่าจะพบตัวกระบอกปืน แต่ส่วนใหญ่ที่พบเป็นเพียงชิ้นส่วนต่างๆ ที่พร้อมเอาไว้จำหน่าย รวมทั้งกระสุนปืนต่างๆ ด้วย เหมือนกับเป็นพ่อค้าขายอาวุธปืนมากกว่า นอกจากนี้คิดว่าไม่น่าเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางศาสนา เพราะเป็นเพียงแค่ชิ้นส่วนประกอบ ซึ่งอาจเป็นชิ้นส่วนที่ใช้สำหรับซ่อมบำรุงเท่านั้น ซึ่งคนร้ายอาจขโมยมาตามศูนย์ราชการหรือตามหน่วยงานต่างๆ
พล.ต.ต.ปริญญากล่าวต่อว่า สำหรับอาวุธสงครามจำนวนมากขนาดนี้จะนำไปขายให้กับต่างประเทศก็อาจเป็นไปได้ แต่จำนวนกระสุนมันก็ไม่มากพอ เพราะอย่างกระสุน 1 หมื่นนัด ถ้าแจกให้แต่ละกองกำลังคนละ 1 พันนัดก็เท่าได้เพียงแค่ 10 คนเอง
“ขณะนี้ได้ส่งหมายเลขทะเบียนปืนไปตรวจสอบตามหน่วยสรรพาวุธต่างๆ ตามหน่วยราชการทั้งหมด อาจใช้เวลาสักระยะ ซึ่งการตรวจสอบหมายเลขทะเบียนปืนจะทราบว่าผลิตเมื่อไหร่ จำหน่ายที่ไหน แต่ถ้าเป็นอาวุธปืนที่ไม่ได้ผลิตในประเทศไทยอาจเป็นการลักลอบหรือนำเข้ามา เบื้องต้นยังไม่ทราบว่าเป็นอาวุธปืนของหน่วยงานใด อย่างตัวลูกปืน ค.ในประเทศไทยก็ไม่ใช่สีที่พบดังกล่าว” รอง ผบช.น.กล่าว
พล.ต.ต.ปริญญากล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะที่มีการขนย้ายสิ่งของเข้ามาภายในห้องที่เกิดเหตุนั้นมีบุคคลได้เห็นหน้าคนที่ย้ายสิ่งของดังกล่าวด้วย ซึ่งขณะนี้ได้ทำการสอบถามและบันทึกปากคำไว้แล้ว อยู่ในสำนวนสอบสวนต่อไป
ต่อมา เวลา 14.00 น. ที่ สน.คันนายาว พล.ต.ต.สุธีร์ เนรกัณฐี ผบก.น.2 พ.ต.อ.เจริญ ศรีศศลักษณ์ รอง ผบก.น.2 พ.ต.อ.ไพศาล วงศ์วัชรมงคล ผกก.สน.คันนายาว ร่วมแถลงความคืบหน้ากรณีจับกุมอาวุธสงครามจำนวนมากภายในห้องเลขที่ 189/1 อาคาร 39 แฟลตเอื้ออาทรปัญญาอินทรา ถ.ปัญญาอินทรา แขวงบางชัน เขตคลองสามวา กทม. เมื่อคืนกลางดึกที่ผ่านมา โดย พล.ต.ต.สุธีร์เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบของกลางที่ยึดได้ทั้งหมด ประกอบด้วย ลูกระเบิดขว้าง แบบเอ็มเค 2 (น้อยหน่า) จำนวน 5 ลูก กระสุนปืนเอ็ม 16 จำนวน 10,245 นัด กระสุนปืนอาก้า (เอเค 47) จำนวน 380 นัด กระสุนปืนเอ็ม60 จำนวน 250 นัด ลำกล้องปืนเอ็ม 16 จำนวน 2 อัน ซองบรรจุกระสุนปืนเอ็ม 16 จำนวน 172 อัน ซองบรรจุกระสุนปืนอาก้า จำนวน 63 อัน ลำกล้องปืนเอ็ม 203 ขนาด 40 มม. จำนวน 1 อัน ท่อเก็บเสียง (ใช้กับปืนเอ็ม 16 ) จำนวน 1 อัน ชุดเข็มแทงชนวนปืนเอ็ม 16 จำนวน 1 ชุด อุปกรณ์แต่งปืนเอ็ม16 จำนวน 1 ชุด ส่วนประกอบปืนเอ็ม 79 จำนวน 1 ชุด ส่วนประกอบ (ฝาประกับ) ของปืนเอ็ม 16 เอ1 จำนวน 8 ชิ้น อะไหล่ปืนเอ็ม 16 และชนิดอื่นๆ จำนวน 50 ชิ้น และปลอกกระสุนปืนขนาดต่างๆ จำนวน 1,000 ปลอก
พล.ต.ต.สุธีร์กล่าวอีกว่า ขั้นตอนต่อไปจะนำของกลางทั้งหมดส่งไปให้ทางกองพิสูจน์หลักฐานตรวจสอบซีรีส์นัมเบอร์เพื่อดูว่าของกลางทั้งหมดมีที่มาที่ไปอย่างใด เบื้องต้นอาวุธทั้งหมดมีสภาพเก่า บางอันผ่านการใช้งานมาแล้ว บางอันยังไม่ได้ใช้งาน บางอันที่เป็นกล่องกระดาษมีปลวกขึ้น นอกจากนี้ภายในห้องที่เกิดเหตุยังพบตู้เสื้อผ้าและเสื้อผ้าผู้หญิงในสภาพเก่ามีปลวกขึ้น จากการสอบพยานพบว่ามีผู้เช่าครั้งสุดท้ายเป็นผู้หญิงทำอาชีพรับจ้าง อายุประมาณ 20-25 ปี แต่ว่าได้ย้ายออกไปตั้งแต่ช่วงน้ำท่วมปีที่แล้ว หลังจากนั้นก็ไม่มีผู้ใดมาเช่าห้องต่ออีก
“ส่วนเจ้าของห้องเบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ได้ประสานงานให้มาเข้าพบในเวลา 14.00 น.ของวันนี้ (9 ต.ค.) แต่ว่าทางเจ้าของห้องขอเลื่อนการเข้าให้ปากคำโดยจะนัดทางพนักงานสอบสวนมาพบอีกครั้งภายในสัปดาห์นี้ ทั้งนี้จากการสอบสวนเจ้าของห้องดังกล่าวเบื้องต้นทราบว่าเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่โดยซื้อห้องดังกล่าวนี้ไว้นานแล้ว แต่เจ้าตัวไม่เคยเข้ามาพักอาศัย โดยปล่อยให้ลูกน้องบริหารจัดการเปิดให้คนอื่นมาเช่า โดยที่เจ้าของห้องก็ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้มาเช่าบ้าง และปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาวุธสงครามดังกล่าวทั้งหมด ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าอาวุธทั้งหมดน่าจะเป็นของกลุ่มขบวนการค้าอาวุธสงคราม ซึ่งไม่น่าใช่เป็นการสะสมอาวุธไว้เพื่อนำไปก่อเหตุ เพราะหากจะนำไปก่อเหตุที่ใดคงไม่น่าจะใช้อาวุธเยอะขนาดนี้ อีกทั้งยังต้องมีการเคลื่อนย้ายอาวุธที่รวดเร็ว แต่ว่าของกลางที่พบนั้นมีจำนวนมาก คาดว่าอาวุธทั้งหมดน่าจะนำไปขายตามชายแดนประเทศเพื่อนบ้านและภาคตะวันตกมากกว่า” พล.ต.ต.สุธีร์กล่าว
ด้าน พ.ต.อ.เจริญกล่าวว่า ของกลางทั้งหมดมีจำนวนมากคาดว่าจะสามารถตรวจสอบได้ไม่ยากว่ามาจากหน่วยงานใด ทางพนักงานสอบสวนได้จัดทำบัญชีของกลางโดยแยกเป็นรายการและชิ้นส่วน เพื่อให้ง่ายต่อการตรวจพิสูจน์ถึงที่มาและที่ไป โดยจะเช็คจากทางต้นสังกัดทั้งตำรวจและทหาร ส่วนการหาตัวคนร้ายนั้นจะสอบพยานในที่เกิดเหตุ รวมทั้งเจ้าของห้อง ลูกน้องเจ้าของห้องที่บริหารจัดการเปิดห้องเช่า และผู้เช่าห้องทั้งหมด เพื่อเข้าให้ปากคำต่อเจ้าหน้าที่ ซึ่งทางเจ้าของห้องก็ได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี แต่ว่าในวันนี้ได้ขอเลื่อนการเข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ เนื่องจากเห็นสื่อมวลชนเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม หากทางเจ้าของห้องเข้าให้ปากคำแล้วคดีก็น่าจะมีความคืบหน้าไปมากกว่านี้
รายงานข่าวแจ้งว่า เจ้าของห้องดังกล่าวคือ นายบุญชู พุ่มเจริญ อดีตรองผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งปัจจุบันเกษียณอายุราชการแล้ว โดยให้ลูกน้องในพื้นที่คอยบริหารจัดการเปิดกิจการห้องเช่าดังกล่าว ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ทราบตัวผู้เช่าห้องทั้งหมดแล้ว กำลังอยู่ระหว่างประสานเข้าให้ปากคำ ขณะเดียวกันหลังเกิดเหตุทางเจ้าของห้องก็ได้ติดต่อเข้าพบเจ้าหน้าที่เพื่อให้ปากคำในวันนี้ แต่เมื่อเดินทางมาถึงสังเกตเห็นสื่อมวลชนจำนวนมากที่มาปักหลักทำข่าวอยู่ที่ สน.คันนายาว จึงโทรศัพท์แจ้งขอเลื่อนการเข้าพบออกไปก่อน แต่แอบเข้ามาพบพนักงานสอบสวนในช่วงเย็นวันเดียวกัน ซึ่งทางเจ้าหน้าที่กำลังอยู่ระหว่างการสอบปากคำ