บิดาสองสามีภรรยาที่หายตัวไปอย่างไร้รอย ร้อง “สภาทนายความ” ขอความช่วยเหลือทางคดี พร้อมมอบหลักฐานเป็นภาพโครงกระดูกที่มีเสื้อยืดสกรีนหมายเลข 20 แต่ผลการตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอปรากฏว่าเป็นศพชาวพม่า ด้านสภาทนายพร้อมจัดทีมทนายลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบรวบรวมข้อเท็จจริง
วันนี้ (3 ต.ค.) นายสว่าง นุ่มจุ้ย บิดาของนายสามารถ นุ่มจุ้ย และ น.ส.อรษา เกิดทรัพย์ สองสามีภรรยาชาวจังหวัดเพชรบุรี ที่หายตัวไปนานกว่า 3 ปี ได้เข้ายื่นหนังสือต่อนายสัก กอแสงเรือง นายกสภาทนายความ เพื่อขอความช่วยเหลือทางกฎหมายและขอคำปรึกษาในคดีการหายตัวไปของลูกชายและลูกสะใภ้
นายสว่างกล่าวว่า ตนร้องขอให้สภาทนายความเข้ามาช่วยเหลือด้านคดี เพราะอยากให้คดีมีความชัดเจนและเป็นกลางมากที่สุด เพราะทางฝ่ายของ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์นั้นมีทีมทนายความ โดยในวันนี้นายสว่างได้เข้าพบนายสัก กอแสงเรือง นายกสภาทนายความ พร้อมนำเอกสารขอความช่วยเหลือเกี่ยวกับการหายตัวของบุตรชายและลูกสะใภ้ตามที่ปรากฏเป็นข่าว และหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นที่ตีพิมพ์ภาพโครงกระดูกที่มีเสื้อยืดสกรีนหมายเลข 20 แต่ผลการตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอปรากฏว่าเป็นศพชาวพม่า มอบให้แก่นายสักไว้ประกอบการพิจารณาด้วย
ทั้งนี้ นายสักกล่าวยืนยันว่า ยินดีให้ความช่วยเหลือเพราะเป็นหน้าที่ของสภาทนายความที่จะให้ความช่วยเหลือและให้ความเป็นธรรมแก่ประชาชน ที่ผ่านมาสภาทนายได้ส่งทีมทนายความตรวจสอบข้อมูลแล้วระดับหนึ่ง ซึ่งคดีนี้มีผู้เกี่ยวข้องหลายฝ่าย ขณะที่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงและหลักฐานทางคดี หลังจากนี้สภาทนายความจะตั้งคณะทำงานเข้าไปรวบรวมข้อมูลและให้ความช่วยเหลือทางคดี ส่วนการรวบรวมพยานหลักฐานเป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวน แต่ทางสภาทนายความก็จะเข้าไปติดตามว่ามีส่วนใดที่ขาดตกบกพร่องยังไม่สมบูรณ์ก็จะช่วยเหลือสนับสนุนเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อไป
“ขอยืนยันว่าการทำหน้าที่ของสภาทนายความ เรายึดหลักให้ความเป็นธรรมและเป็นกลางต่อทุกฝ่าย ไม่มีธงอย่างแน่นอน โดยจะทำการตรวจสอบข้อมูลทุกอย่างให้ถูกต้องเสียก่อน ดังนั้นเวลานี้จึงยังไม่ได้ให้คำแนะนำแก่นายสว่างมากเท่าทึควร” นายกสภาทนายความระบุ
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากไม่พบศพหรือโครงกระดูกของสองสามีภรรยา จะกระทบต่อรูปคดีอย่างใดหรือไม่ นายสักกล่าวว่า ขึ้นอยู่กับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะต้องรวบรวมหลักฐานให้ได้เพื่อนำไปสู่การนำตัวผู้กระทำความผิดมาสู่กระบวนการ ส่วนที่มีการตรวจพิสูจน์โครงการกระดูกถึง 2 ครั้งของ รพ.จุฬาฯ ถือว่าเป็นเรื่องปกติของทางการแพทย์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีเสียอีกว่าการตรวจพิสูจน์ครั้งที่ 2 จะช่วยยืนยันการตรวจพิสูจน์ครั้งแรก โดยผู้ต้องหาคดีนี้เป็นถึงนายตำรวจระดับสูง หากมีหน่วยงานกลางที่เข้ามาร่วมตรวจพิสูจน์ย่อมจะทำให้สังคมไม่รู้สึกเคลือบแคลงสงสัย
ด้าน นายสว่างกล่าวว่า ต้องการขอให้สภาทนายความช่วยเหลือด้านคดี ให้คำปรึกษาและต่อสู้คดี เนื่องจากเกรงว่าหากยังไม่มีความชัดเจนเรื่องการตรวจพิสูจน์โครงกระดูก หรือหากไม่พบโครงกระดูก รูปคดีอาจจะเปลี่ยนแปลงและเกรงว่าจะเกิดปัญหาได้ จึงอยากให้สภาทนายความเข้ามาช่วยดูแล รวมถึงคดีที่ตนเข้าแจ้งความดำเนินคดีต่อนายพลเทพ สุวรรณวิเชียร ทนายความของ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ เลาหะวัฒนะ ข้อหาหมิ่นประมาทฯ และส่วนอื่นด้วย เนื่องจากทนายความให้ข่าวอย่างไม่เป็นธรรมในทางที่ทำให้ตนและครอบครัวเสียหายตลอด และยอมรับว่าขณะนี้รู้สึกกังวลมากว่าคดีจะออกไปในทิศทางไหน ซึ่งโครงกระดูกที่ขุดพบแล้วตรวจพิสูจน์ว่าไม่ใช่บุตรชายของตน ทั้งที่เสื้อยืดที่พบเป็นเสื้อที่ตนซื้อให้ ส่วนรถกระบะของลูกสะใภ้ที่เป็นพยานหลักฐานก็มีพยานบุคคลเห็นว่ามีผู้ขับรถเข้าไปจอดไว้ในบ้าน อย่างไรก็ดี ตนทราบว่าขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ประสานไปยังทางการพม่าเพื่อจะหาหลักฐานตรวจสอบให้ได้ว่าศพทั้ง 3 รายที่นิติเวช รพ.ตำรวจได้ตรวจพิสูจน์มาแล้วนั้นเป็นใคร
สำหรับนายสุเทพ พี่ชายของ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ตนก็เพิ่งรู้จักเมื่อมีการให้เบาะแสเกี่ยวกับรถกระบะ ส่วนที่มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าไร่ของหมอเคยเป็นสุสานเก่านั้น ตนยืนยันว่าไม่ใช่แน่นอน เพราะเจ้าของที่ดินเดิมที่หมอซื้อมาปัจจุบันเจ้าของก็ยังอยู่
ในส่วนของตนนั้นไม่มีอะไรเลย จึงมุ่งหน้ามายังสภาทนายความเพื่อให้ช่วยดูในเรื่องคดีความอยากให้เป็นธรรมมากที่สุด ในส่วนของการตรวจสอบโครงกระดูกที่ขุดพบนั้น ตนได้มีการพูดคุยไว้ก่อนหน้าแล้วว่าถ้าผลตรวจออกมาไม่ใช่ลูกของตน ตนขอไปตรวจอีกครั้งได้หรือไม่ ซึ่งหากผลการตรวจดีเอ็นเอโครงกระดูกของสถาบันนิติเวช โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ยังออกมาไม่ตรงกับดีเอ็นเออีกครั้งก็จะหยุดเรื่องดังกล่าวไว้ก่อน
ด้านนายกสภาทนายความกล่าวว่า เบื้องต้นทางสภาทนายความได้จัดเตรียมทีมทนายลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบรวบรวมข้อเท็จจริงในระดับหนึ่งมาแล้ว และทางสภาทนายความยินดีให้คำปรึกษา ให้คำแนะนำ ทั้งในชั้นสอบสวนจนกระทั่งถึงการดำเนินคดีในชั้นศาล หลังจากนี้ก็จะทำการตั้งคณะกรรมการขึ้นมา เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงร่วมกับพนักงานสอบสวน ทั้งในส่วนของประจักษ์พยาน พยานแวดล้อมและวัตถุพยานอื่น ทั้งทางนิติวิทยาศาสตร์และพยานบุคคล โดยยืนยันว่าในส่วนของสภาทนายความจะทำตามข้อเท็จจริงและยึดตามหลักกฎหมาย ส่วนของการดำเนินคดีอาญานั้นเป็นหน้าที่โดยตรงของพนักงานสอบสวน แต่สภาทนายความจะดูแลในเรื่องของผู้เสียหาย ในฐานะคู่ความเสริมหรือโจทก์ร่วม ส่วนการตรวจสอบดีเอ็นเอจากโครงกระดูกหลายรอบนั้นมองว่าไม่ใช่เรื่องผิดปกติ แต่เป็นการทำเพื่อความแม่นยำและความถูกต้องของคดี
วันนี้ (3 ต.ค.) นายสว่าง นุ่มจุ้ย บิดาของนายสามารถ นุ่มจุ้ย และ น.ส.อรษา เกิดทรัพย์ สองสามีภรรยาชาวจังหวัดเพชรบุรี ที่หายตัวไปนานกว่า 3 ปี ได้เข้ายื่นหนังสือต่อนายสัก กอแสงเรือง นายกสภาทนายความ เพื่อขอความช่วยเหลือทางกฎหมายและขอคำปรึกษาในคดีการหายตัวไปของลูกชายและลูกสะใภ้
นายสว่างกล่าวว่า ตนร้องขอให้สภาทนายความเข้ามาช่วยเหลือด้านคดี เพราะอยากให้คดีมีความชัดเจนและเป็นกลางมากที่สุด เพราะทางฝ่ายของ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์นั้นมีทีมทนายความ โดยในวันนี้นายสว่างได้เข้าพบนายสัก กอแสงเรือง นายกสภาทนายความ พร้อมนำเอกสารขอความช่วยเหลือเกี่ยวกับการหายตัวของบุตรชายและลูกสะใภ้ตามที่ปรากฏเป็นข่าว และหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นที่ตีพิมพ์ภาพโครงกระดูกที่มีเสื้อยืดสกรีนหมายเลข 20 แต่ผลการตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอปรากฏว่าเป็นศพชาวพม่า มอบให้แก่นายสักไว้ประกอบการพิจารณาด้วย
ทั้งนี้ นายสักกล่าวยืนยันว่า ยินดีให้ความช่วยเหลือเพราะเป็นหน้าที่ของสภาทนายความที่จะให้ความช่วยเหลือและให้ความเป็นธรรมแก่ประชาชน ที่ผ่านมาสภาทนายได้ส่งทีมทนายความตรวจสอบข้อมูลแล้วระดับหนึ่ง ซึ่งคดีนี้มีผู้เกี่ยวข้องหลายฝ่าย ขณะที่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงและหลักฐานทางคดี หลังจากนี้สภาทนายความจะตั้งคณะทำงานเข้าไปรวบรวมข้อมูลและให้ความช่วยเหลือทางคดี ส่วนการรวบรวมพยานหลักฐานเป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวน แต่ทางสภาทนายความก็จะเข้าไปติดตามว่ามีส่วนใดที่ขาดตกบกพร่องยังไม่สมบูรณ์ก็จะช่วยเหลือสนับสนุนเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อไป
“ขอยืนยันว่าการทำหน้าที่ของสภาทนายความ เรายึดหลักให้ความเป็นธรรมและเป็นกลางต่อทุกฝ่าย ไม่มีธงอย่างแน่นอน โดยจะทำการตรวจสอบข้อมูลทุกอย่างให้ถูกต้องเสียก่อน ดังนั้นเวลานี้จึงยังไม่ได้ให้คำแนะนำแก่นายสว่างมากเท่าทึควร” นายกสภาทนายความระบุ
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากไม่พบศพหรือโครงกระดูกของสองสามีภรรยา จะกระทบต่อรูปคดีอย่างใดหรือไม่ นายสักกล่าวว่า ขึ้นอยู่กับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะต้องรวบรวมหลักฐานให้ได้เพื่อนำไปสู่การนำตัวผู้กระทำความผิดมาสู่กระบวนการ ส่วนที่มีการตรวจพิสูจน์โครงการกระดูกถึง 2 ครั้งของ รพ.จุฬาฯ ถือว่าเป็นเรื่องปกติของทางการแพทย์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีเสียอีกว่าการตรวจพิสูจน์ครั้งที่ 2 จะช่วยยืนยันการตรวจพิสูจน์ครั้งแรก โดยผู้ต้องหาคดีนี้เป็นถึงนายตำรวจระดับสูง หากมีหน่วยงานกลางที่เข้ามาร่วมตรวจพิสูจน์ย่อมจะทำให้สังคมไม่รู้สึกเคลือบแคลงสงสัย
ด้าน นายสว่างกล่าวว่า ต้องการขอให้สภาทนายความช่วยเหลือด้านคดี ให้คำปรึกษาและต่อสู้คดี เนื่องจากเกรงว่าหากยังไม่มีความชัดเจนเรื่องการตรวจพิสูจน์โครงกระดูก หรือหากไม่พบโครงกระดูก รูปคดีอาจจะเปลี่ยนแปลงและเกรงว่าจะเกิดปัญหาได้ จึงอยากให้สภาทนายความเข้ามาช่วยดูแล รวมถึงคดีที่ตนเข้าแจ้งความดำเนินคดีต่อนายพลเทพ สุวรรณวิเชียร ทนายความของ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ เลาหะวัฒนะ ข้อหาหมิ่นประมาทฯ และส่วนอื่นด้วย เนื่องจากทนายความให้ข่าวอย่างไม่เป็นธรรมในทางที่ทำให้ตนและครอบครัวเสียหายตลอด และยอมรับว่าขณะนี้รู้สึกกังวลมากว่าคดีจะออกไปในทิศทางไหน ซึ่งโครงกระดูกที่ขุดพบแล้วตรวจพิสูจน์ว่าไม่ใช่บุตรชายของตน ทั้งที่เสื้อยืดที่พบเป็นเสื้อที่ตนซื้อให้ ส่วนรถกระบะของลูกสะใภ้ที่เป็นพยานหลักฐานก็มีพยานบุคคลเห็นว่ามีผู้ขับรถเข้าไปจอดไว้ในบ้าน อย่างไรก็ดี ตนทราบว่าขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ประสานไปยังทางการพม่าเพื่อจะหาหลักฐานตรวจสอบให้ได้ว่าศพทั้ง 3 รายที่นิติเวช รพ.ตำรวจได้ตรวจพิสูจน์มาแล้วนั้นเป็นใคร
สำหรับนายสุเทพ พี่ชายของ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ตนก็เพิ่งรู้จักเมื่อมีการให้เบาะแสเกี่ยวกับรถกระบะ ส่วนที่มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าไร่ของหมอเคยเป็นสุสานเก่านั้น ตนยืนยันว่าไม่ใช่แน่นอน เพราะเจ้าของที่ดินเดิมที่หมอซื้อมาปัจจุบันเจ้าของก็ยังอยู่
ในส่วนของตนนั้นไม่มีอะไรเลย จึงมุ่งหน้ามายังสภาทนายความเพื่อให้ช่วยดูในเรื่องคดีความอยากให้เป็นธรรมมากที่สุด ในส่วนของการตรวจสอบโครงกระดูกที่ขุดพบนั้น ตนได้มีการพูดคุยไว้ก่อนหน้าแล้วว่าถ้าผลตรวจออกมาไม่ใช่ลูกของตน ตนขอไปตรวจอีกครั้งได้หรือไม่ ซึ่งหากผลการตรวจดีเอ็นเอโครงกระดูกของสถาบันนิติเวช โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ยังออกมาไม่ตรงกับดีเอ็นเออีกครั้งก็จะหยุดเรื่องดังกล่าวไว้ก่อน
ด้านนายกสภาทนายความกล่าวว่า เบื้องต้นทางสภาทนายความได้จัดเตรียมทีมทนายลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบรวบรวมข้อเท็จจริงในระดับหนึ่งมาแล้ว และทางสภาทนายความยินดีให้คำปรึกษา ให้คำแนะนำ ทั้งในชั้นสอบสวนจนกระทั่งถึงการดำเนินคดีในชั้นศาล หลังจากนี้ก็จะทำการตั้งคณะกรรมการขึ้นมา เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงร่วมกับพนักงานสอบสวน ทั้งในส่วนของประจักษ์พยาน พยานแวดล้อมและวัตถุพยานอื่น ทั้งทางนิติวิทยาศาสตร์และพยานบุคคล โดยยืนยันว่าในส่วนของสภาทนายความจะทำตามข้อเท็จจริงและยึดตามหลักกฎหมาย ส่วนของการดำเนินคดีอาญานั้นเป็นหน้าที่โดยตรงของพนักงานสอบสวน แต่สภาทนายความจะดูแลในเรื่องของผู้เสียหาย ในฐานะคู่ความเสริมหรือโจทก์ร่วม ส่วนการตรวจสอบดีเอ็นเอจากโครงกระดูกหลายรอบนั้นมองว่าไม่ใช่เรื่องผิดปกติ แต่เป็นการทำเพื่อความแม่นยำและความถูกต้องของคดี