xs
xsm
sm
md
lg

ซาตานในคราบนักบุญ "หมอสุพัฒน์" ปมมรดกเลือด หรือ "ซาดิสต์"

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

พ.ต.อ.สุพัฒน์ เลาหะวัฒนะ นายแพทย์ (สบ 5)
กลายเป็นข่าวครึกโครม หลังนายสว่าง นุ่มจุ้ย อายุ 55 ปี เจ้าของไร่สับปะรดชาว จ.เพชรบุรี เข้าแจ้งความกับ พนักงานสอบสวน สภ.เมืองนนทบุรี ว่า พบรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นไทเกอร์ สีบรอนซ์เทา หมายเลขทะเบียน บฉ-5960 เพชรบุรี ของ นายสามารถ นุ่มจุ้ย อายุ 27 ปี บุตรชายและน.ส.อรษา เกิดทรัพย์ อายุ 27 ปี ลูกสะใภ้ ซึ่งได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเมื่อ 3 ปีก่อน มาจอดอยู่ภายในบ้านร้าง เลขที่ 125/53 และ 125/2 ซ.กรุงเทพนนท์ 1 ถ.กรุงเทพนนท์ ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี นำมาสู่การพลิกแฟ้มคดีคนสูญหายที่ดูราวกับว่าจะถูกลืมไปแล้วกลับขึ้นมาทำใหม่ กระทั่งนำไปสู่การจับกุม พ.ต.อ.สุพัฒน์ เลาหะวัฒนะ นายแพทย์ (สบ 5) รพ.ตำรวจ และ ออกหมายจับ น.ส.วิลสา จันทรบัญชร ภรรยา ในข้อกล่าวหาร่วมกันกักขังหน่วงเหนี่ยว และร่วมกันรับของโจร แม้จนถึงวันนี้ พ.ต.อ.สุพัฒน์ ยังคงให้การปฏิเสธ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเงื่อนปมต่างๆ ในคดีเริ่มค่อยๆ คลี่คลายและ กระจ่างชัดมากขึ้น

นายสว่าง เล่าว่า ตนเองได้ออกติดตามหาตัว นายสามารถ มานานกว่า 3 ปีแล้ว ตั้งแต่หายตัวออกจากบ้านไปตั้งแต่วันที่ 17 มิ.ย.52 โดยก่อนเกิดเหตุนายสามารถมาบอกตนว่าจะไปตัดต้นกระถินที่ไร่ของแม่ น.ส.อรษา และจะแวะเข้ามาหา แต่จนกระทั่งเย็นก็ไม่เห็นลูกชายมา จึงได้โทรศัพท์หาทั้งของลูกชายและลูกสะใภ้ แต่ก็พบว่าโทรศัพท์ถูกปิดเครื่อง จึงได้ขับรถเข้าไปดูที่ไร่ก็พบเพียงกองไม้ต้นกระถินที่ลูกชายตัดไว้แต่ไม่พบตัวลูกชายและลูกสะใภ้ จึงได้เข้าแจ้งความไว้ที่ สภ.ท่าไม้รวก และออกติดตามหามาตลอด จนกระทั่งรู้จากพลเมืองดีว่ารถของลูกชายจอดอยู่ในบ้านหลังนี้จึงเดินทางมาดู และเข้าแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองนนทบุรี ให้ช่วยติดตามตัวลูกชาย และลูกสะใภ้

หลังจากได้ข้อมูลจากนายสว่าง ตำรวจภูธร จ.นนทบุรี จึงได้ประสานข้อมูล สภ.ท่าไม้รวก จ.เพชรบุรี ซึ่งเป็นท้องที่ที่นายสว่างเคยแจ้งความคนหายไว้เมื่อ 3 ปีก่อน ขณะเดียวกัน พล.ต.ท.หาญพล นิตย์วิบูล ผบช.ภ.7 ได้ส่งชุดสืบสวนลงพื้นที่คลี่คลายคดีนี้ จนได้พยานปากสำคัญ คือ นายกะลา อายุ30ปี ชาวพม่า ที่เคยทำงานให้กับ พ.ต.อ.สุพัฒน์ ซึ่งนายกะลา ให้การว่า ทำงานให้กับ พ.ต.อ.สุพัฒน์ มานานกว่า 18 ปี ถูกบังคับให้ทำงานโดยไม่ได้รับค่าจ้าง ถูกทำทารุณกรรมจนแขนขวาพิการ ขณะเดียวกันอ้างว่าเคยมีคนงานชาวพม่าที่ทำงานในไร่ถูกทำทารุณกรรมเช่นตน และถูกฆาตกรรมเสียชีวิต โดยศพถูกฝังอยู่ภายในไร่

เจ้าหน้าที่จึงได้ขออนุมัติหมายค้นจากศาล จ.เพชรบุรี เข้าค้นที่ไร่ของ พ.ต.อ.สุพัฒน์ เลขที่ 65 และเลขที่ 225 หมู่ 2 ต.กลัดหลวง อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี ซึ่งก็ต้องตกตะลึงเมื่อตรวจสอบภายในบ้านพักชั้นเดียวพบอาวุธปืนยาว หลายขนาดรวม 30 กระบอก และปืนพกสั้นอีก 12 กระบอก สอดคล้องกับคำให้การพยานที่ระบุตรงกันว่า พ.ต.อ.สุพัฒน์ ชอบยิงปืนและเข้าป่าล่าสัตว์

ขณะที่เจ้าหน้าที่ได้ใช้รถแบ็คโฮขุดบริเวณจุดที่พยานระบุว่าเป็นจุดฝังศพ ซึ่งอยู่ติดกับริมห้วยใกล้กอไผ่กลางไร่ของ พ.ต.อ.สุพัฒน์ ก็พบโครงกระดูกมนุษย์โครงแรกที่บรรจุอยู่ในกระสอบปุ๋ย 2 ใบ มีเศษเสื้อคลุมแบบมีซิปติดอยู่ ก่อนที่วันรุ่งขึ้นจะขุดเจอโครงกระดูกที่2 ซึ่งอยู่ห่างจากจุดแรก 200 เมตร พบที่กะโหลกมีรูกลมคล้ายถูกยิงด้วยอาวุธปืน มีเศษเสื้อสีน้ำเงินเบอร์ 20 กางเกงขาสั้น ซึ่ง นายสว่างยืนยันว่าน่าจะเป็นศพของบุตรชายเพราะจำเบอร์ที่ติดเสื้อและกางเกงขาสั้นที่บุตรชายชอบใส่ได้ ส่วนโครงกระดูกที่ 3 ถูกฝังในสภาพนอนคว่ำหน้า ถูกมัดมือไพล่หลัง กะโหลกมีรูกลมด้านหลัง มีเศษชิ้นส่วนเสื้อผ้า และเชือกไนล่อนที่คาดว่าใช้มัดมือผู้ตาย เจ้าหน้าที่จึงได้ส่งโครงกระดูกทั้งหมดตรวจพิสูจน์ที่สถาบันนิติเวชวิทยา เพื่อสกัดดีเอ็นเอเทียบกับญาติของผู้สูญหาย

พล.ต.ท.จรัมพร สุระมณี ผู้ช่วยผบ.ตร. ซึ่งร่วมตรวจสอบโครงกระดูกดังกล่าว ระบุว่า โครงกระดูกโครงแรกเป็นเพศชายไม่มีร่องรอยถูกทำร้าย มีเหรียญ 5 บาท และเหรียญ 1 บาทใส่อยู่ในปาก ซึ่งคงเป็นการทำพิธีศพ ส่วนโครงกระดูกที่ 2 พบรูกระสุนบริเวณท้ายทอย ขนาดกระสุนเล็กกว่า 9 มม.ลักษณะรูกระสุนกลม สันนิษฐานว่าจะเป็นการยิงระยะใกล้ ขณะเดียวกันยังพบหัวกระสุนอยู่ด้านในกะโหลก และโครงกระดูกที่ 3 ยังไม่ทราบเพศ เนื่องจากสภาพโครงกระดูกไม่สมบูรณ์ ที่กะโหลกบริเวณท้ายทอยพบรูกระสุน 3 รู เรียงกัน ขนาดกระสุนน่าจะเล็กกว่ากระสุน 9 มม. การยิงลักษณะเป็นระยะใกล้ ศีรษะจะนิ่งคล้ายถูกจับศีรษะหรือกดไว้ ซึ่งเป็นการสังหารอย่างโหดเหี้ยม

แต่ทว่าผลการตรวจดีเอ็นเอโครงกระดูกทั้ง 3 ราย ของสถาบันนิติเวชวิทยา ซึ่งได้ตรวจแล้วเสร็จเฉพาะโครงกระดูกแรกเพียงโครงเดียว ระบุว่า ไม่มีความเกี่ยวข้องกับญาติผู้สูญหาย ส่วนดีเอ็นเอ 2 ศพที่เหลือยังไม่แล้วเสร็จ แต่จากที่การตรวจฟันเพื่อระบุอายุ ปรากฏว่า ศพที่ 2 และ 3 ไม่น่าจะใช่นายสามารถ และน.ส.อรสา เนื่องจากช่วงอายุไม่ตรงกันกับนายสามารถที่เสียชีวิตอายุ 26-27 ปี แต่ศพที่ 3 นั้นอายุประมาณ 40-45 ปี ซึ่งก็แสดงว่าจนถึงขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่า นายสามารถและน.ส.อรษา ถูกฆาตกรรม

ย้อนมาที่การติดตามตัว พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ หลังข่าวเผยแพร่ออกไปเจ้าตัวได้แต่เก็บตัวเงียบ ไม่สามารถติดต่อได้ เพราะอยู่ระหว่างลาพักร้อน ขณะเดียวกันได้ยื่นเรื่องขอเออร์ลี่รีไทร์กับต้นสังกัด ต่อมาวันที่ 22 ก.ย. ศาลจังหวัดเพชรบุรี ได้อนุมัติออกหมายจับ พ.ต.อ.สุพัฒน์และนางวิลสา จันทรบัญชร ภรรยา และช่วงเย็นวันเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำกำลังเข้าจับกุมตัว พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ได้ที่หาดปึกเตียนรีสอร์ต อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี จากการสอบสวนเจ้าตัวให้การปฏิเสธ ขอให้การในชั้นศาล

ขณะที่วันรุ่งขึ้น พล.ต.ท.จงเจตน์ อาวเจนพงษ์ นายแพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ ได้มีคำสั่งให้ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ออกจากราชการไว้ก่อน พร้อมระงับคำสั่งเออร์ลี่รีไทร์ไว้ก่อนด้วย

และในวันเดียวกัน นายสว่าง ได้เข้ายื่นหนังสือกับพนักงานสอบสวน สภ.ท่าไม้รวก จ.เพชรบุรี ขอแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมต่อ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ และ น.ส.วิลสา ภรรยา ในข้อหาฆ่านายสามารถ นุ่มจุ้ย บุตรชายตายโดยเจตนา และอำพรางศพ ด้วยหลักฐาน และเหตุผลที่สำคัญ คือ เมื่อวันที่ 15 ก.ย. 2555 นายสุเทพ เลาหะวัฒนะ พี่ชายของ พ.ต.อ.สุพัฒน์ เลาหะวัฒนะ ได้พา น.ส.วิมล นุ่มจุ้ย บุตรสาว ไปที่บ้านของ น.ส.วิลสา ในพื้นที่ จ.นนทบุรี และได้พบรถยนต์กระบะ ซึ่งเป็นรถของบุตรชายตนถูกจอดทิ้งไว้ในบ้านหลังดังกล่าว โดยรถที่พบนั้นหายไปพร้อมกับบุตรชาย และบุตรสะใภ้ของตนเมื่อ 3 ปีก่อน

“หลังจากพบรถกระบะในบ้านของภรรยานายแพทย์ที่ จ.นนทบุรี ผมได้โทรศัพท์ไปหา พ.ต.อ.นายแพทย์สุพัฒน์ และไต่ถามเกี่ยวกับการหายตัวไปของบุตรชาย และบุตรสะใภ้ แต่กลับถูก พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ปฏิเสธ และข่มขู่ให้ระวังตัวจะอยู่ไม่ได้ และขอให้หยุดการเปิดโปงเรื่องนี้ และยังบอกอีกว่า เขามีพวกมาก ผมไม่มีทางชนะเขาได้หรอก จนกระทั่งต่อมา เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 21 กันยายน 2555 ซึ่งเป็นวันที่เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการขุดค้นหาศพที่บริเวณไร่หลังบ้านของ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ และได้ขุดพบโครงกระดูกของนายสามารถ ที่ถูกฝังไว้ในไร่ ที่จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่พบว่าที่กะโหลกศีรษะมีรูกระสุนที่กกหูซ้าย และพบเสื้อกางเกงที่ซากศพ และฟัน ผมมั่นใจว่าเป็นของนายสามารถ บุตรชาย อีกทั้งสถานที่พบศพยังเป็นไปตามคำบอกเล่าของผู้ให้ข้อมูลมาว่า พบเห็น พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ใช้อาวุธปืนยิงก่อนที่จะนำศพไปฝังดินไว้ในไร่ดังกล่าว" ใจความในหนังสือของนายสว่าง ระบุ

อีกประเด็นที่น่าสนใจเนื่องจากคดีนี้มีจิ๊กซอว์สำคัญ คือ พลเมืองดี ผู้ที่ให้ข้อมูลกับญาติของผู้สูญหาย ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็น นายสุเทพ เลาหะวัฒนะ พี่ชายของ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ นั่นเอง จึงเกิดคำถามตามมาว่าเหตุใด พี่น้องร่วมสายเลือดจึงได้เปิดศึกสาวไส้กันเอง

แต่หากย้อนดูความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่เรียกได้ว่าไม่ราบรื่นนัก เพราะก่อนหน้านี้ ทั้งคู่ได้มีข้อพิพาทเรื่องการแย่งกันเป็นผู้ดูแล นางถนิม เลาหะวัฒนะ มารดาวัย 96 ปี โดย พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ได้ยื่นคำร้องต่อศาลเยาวชนและครอบครัวกลางขอให้ศาลสั่งให้นางถนิม เป็นคนไร้ความสามารถและให้ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ เป็นผู้อนุบาลแต่เพียงผู้เดียว ขณะที่นายสุเทพได้ยื่นคำร้องคัดค้าน ขณะเดียวกันยังมีการฟ้องกันไปมาระหว่าง พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ และนายสุเทพ เรื่องการเบิกความเท็จที่ศาลจ.นนทบุรี อีกด้วย

นายสุเทพ กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ระบุว่า ตนเองเป็นผู้จัดฉากให้ร้าย เนื่องจากมีปัญหาความขัดแย้งในครอบครัว เพราะมีการฟ้องร้องกันอยู่ในชั้นศาล ว่า เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง เนื่องจากเมื่อปี 2551 พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ได้ให้ยารักษาแม่ไม่ตรงกับโรค ให้ยานอนหลับเกินขนาด ส่งผลให้แม่ที่ป่วยเป็นโรคหัวใจมีอาการเต้นของหัวใจผิดจังหวะ เท้าบวม ตนเห็นว่า น้องชายให้ยาแม่ไม่สุจริต จึงพาตัวแม่หลบหนีออกจากบ้าน เป็นจุดแตกหัก จากนั้นมาทราบว่าไปร้องศาลว่าแม่ความจำเสื่อม ขอเป็นผู้อนุบาล แต่ตนคัดค้าน เพราะเห็นว่าสุขภาพร่างกายแม่แข็งแรงดีไม่ได้มีอาการป่วยตามที่ถูกกล่าวอ้าง ส่วนความขัดแย้งเรื่องมรดกนั้น ยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง เนื่องจากครอบครัวไม่ได้มีมรดกอะไรมาก นอกจาก ที่ดิน 3 แปลง ย่าน พหลโยธิน, ลาดพร้าว และ กรุงเทพฯ-นนทบุรี ซอย 1 ส่วนเงินสดของคุณแม่ ในธนาคาร ถูกน้องชายถอนไปจนหมดบัญชี มากว่า 10 ปีแล้ว

“ปกติเขาเป็นคนดี เรียนเก่ง แต่จะเป็นคนสองบุคลิก เมื่ออยู่กับครอบครัวก็จะเป็นคนสุภาพเรียบร้อย แต่ถ้าอยู่กับคนที่ด้อยกว่าก็จะเป็นอีกแบบ พี่สาวที่เลี้ยงมายังเคยถูกทำร้าย เพราะเข้าไปเตือนเรื่องผู้หญิง ที่น้องชายพยายามจะพาให้ที่บ้านรู้จัก อยากให้น้องชายหาทางช่วยเหลือตัวเอง ดิ้นไปแบบนี้โทษจะหนักไปเรื่อย ไม่ใช่แค่กรณีสองผัวเมียเท่านั้น ยังไปทำคนอื่นไว้อีกเยอะ” นายสุเทพ กล่าวและว่า เชื่อว่าสาเหตุที่น้องชายพยายามโยนความผิดมาที่ตนว่าเป็นการจัดฉาก เพราะ คิดอะไรไม่ออกจึงโยนความผิดมา

ส่วนกรณีที่ครอบครัวของผู้ที่สูญหาย ระบุว่าตนเป็นผู้ให้เบาะแสเรื่องรถนั้น นายสุเทพ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ ตนได้พาน.ส.วิมล นุ่มจุ้ย พี่สาวของนายสามารถที่หายตัวไป ซึ่งทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ธุรการ รพ.ตำรวจ และเป็นลูกน้องของน้องชายตน ไปเลี้ยงข้าว เพื่อตอบแทนที่ช่วยดูแลแม่ทุกครั้งที่แม่ไปพบแพทย์ที่รพ.ตำรวจ ระหว่างนั้น น.ส.วิมล ได้เล่าว่ามีปัญหากับน้องชายของตน ซึ่งน้องชายของเธอได้หายตัวไปกว่า 3 ปีแล้ว และเมื่อสอบถามน้องชายตนก็ปฏิเสธมาตลอด น.ส.วิมล ถามตนว่า เป็นไปได้หรือไม่ ที่น้องชายตนจะจับตัวนายสามารถไปขังไว้ ซึ่งตนไม่เชื่อใจน้องชายอีกแล้ว จึงบอก น.ส.วิมล ไปว่ามีบ้านที่น้องเคยอาศัยอยู่หลังหนึ่ง จนกระทั่ง น.ส.วิมล ไปพบรถของนายสามารถจอดอยู่ในบ้านหลังดังกล่าว

และไม่ว่าเรื่องนี้จะจบลงอย่างไร พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ เป็นผู้กระทำผิดตามถูกกล่าวหาหรือไม่ คงต้องให้กระบวนการยุติธรรมเป็นผู้ตัดสิน แต่ทว่าหากเรื่องนี้เป็นความจริง พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ซึ่งคนทั่วไปเปรียบเสมือนพ่อพระ เพราะเขาได้ใช้วิชาชีพแพทย์ช่วยชีวิตคนไข้ไว้มากมาย แต่อีกด้านหนึ่งเขากลับเป็น"ซาตานในคราบนักบุญ"...
พล.ต.ท.จรัมพร สุระมณี ผู้ช่วยผบ.ตร.
กำลังโหลดความคิดเห็น