“คำรณวิทย์” ระดมกวาดล้างอาชญากรรม-อาวุธปืน

“คำรณวิทย์” ประเดิมแถลงกวาดล้างอาชญากรรมหลังกลับจากดูงานต่างประเทศ โชว์ผลงานแค่ 2 เดือน จับอาวุธปืนได้ 1,000 กระบอก ระบุ ประชาชนไม่ต้องห่วง ตร.นครบาลจะดูแลคุ้มครองความปลอดภัย

วันนี้ (17 ก.ย.) เวลา 13.00 น. ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. พร้อมด้วย รอง ผบช.น., ผบก.น.1-9 และเจ้าหน้าที่ที่ตำรวจที่เกี่ยวข้อง ร่วมแถลงผลการระดมกวาดล้างปราบปรามและควบคุมอาชญากรรม ระหว่างวันที่ 7 -16 ส.ค. ที่ผ่านมา โดยสามารถจับกุมคดีความผิดที่เกี่ยวกับอาวุธปืน อาวุธสงคราม วัตถุระเบิด และคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดอาชญากรรมประเภทต่างๆ

พล.ต.ท.คำรณวิทย์ เปิดเผยว่า ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ระดมกวาดล้างมาแล้วไม่ต่ำกว่า 1,000 กระบอก จากสถิติการเกิดอาชญากรรมในช่วงนี้เริ่มลดลง โดยเฉพาะคดีที่เกี่ยวกับทรัพย์ ซึ่งถือว่าเดินมาถูกทางแล้ว ทั้งนี้ ก่อนที่ตนเดินทางไปต่างประเทศได้ขอความร่วมมือเจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยกันระดมกวาดล้างอาชญากรรมอีกครั้งหนึ่ง และผลออกมาก็เป็นที่น่าพอใจ

พล.ต.ท.คำรณวิทย์ กล่าวอีกว่า ส่วนการกวาดล้างจับกุมทั้งคดีอาวุธปืน คดีหมายค้างเก่า โดยคดีหมายค้างเก่าที่มีอยู่ 50,000 กว่าคดี และจับได้ถึง 613 คดี ซึ่งพี่น้องประชาชนชาวกรุงเทพฯ ไม่ต้องเป็นห่วง เจ้าหน้าที่จะดูแลความปลอดภัยทั้งชีวิตและทรัพย์สิน นอกจากนี้ ยังมีโครงการมิราเคิล อาย (MIRACLE EYE) ที่ยังดำเนินการติดตั้งอยู่ และถ้าโครงการดังกล่าวเสร็จเรียบร้อย เชื่อว่าคดีต่างๆ จะลดลง ซึ่งผู้ต้องหาทั้งหมดที่เจ้าหน้าที่จับกุมได้ทำให้คดีเกี่ยวกับทรัพย์ลดลงมาก

“ในวันพรุ่งนี้จะมีการเรียกประชุมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเพื่อป้องกัน และแก้ไขปัญหา หากเกิดน้ำท่วมขึ้นในพื้นที่กรุงเทพฯ เพราะปีที่แล้วเกิดความเสียหายมาก โดยปีที่แล้วผมอยู่ที่ บช.ภ.1 ซึ่งมีการเตรียมการไว้ก่อนถึงได้มีการช่วยเหลือประชาชนได้ทันท่วงที” ผบช.น. กล่าว

ทั้งนี้ ผลการระดมกวาดล้างอาชญากรรมสามารถจับกุมคดีต่างๆ ได้ ดังนี้ คดีเกี่ยวกับอาวุธปืน เช่น อาวุธปืนสงคราม 3 กระบอก อาวุธปืนธรรมดาชนิดต่างๆ ที่มีทะเบียน และไม่มีทะเบียนรวม 83 กระบอก และปืนไทยประดิษฐ์อีก 87 กระบอก รวมของกลาง 173 กระบอก นอกจากนี้ ยังมีลูกระเบิดอีก 1 ลูก คดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด จำนวน 1,111 ราย ผู้ต้องหาทั้งหมด 1,113 คน แบ่งเป็น จำหน่าย 135 คน ครอบครอง 318 คน และเสพยา 660 คน คดีค้างเก่าตามหมายจับ โดยจับกุมได้ทั้งหมด จำนวน 168 ราย ได้ผู้ต้องหา 175 คน แยกประเภทเป็น คดีอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญ 10 คน คดีเกี่ยวกับร่างกายและเพศ 42 คน คดีประทุษร้ายต่อทรัพย์ 42 คน และคดีอื่นๆ อีก 81 คน

คดีที่รัฐเป็นผู้เสียหาย แบ่งเป็น จำหน่ายสุราโดยไม่ได้รับอนุญาต 127 คน เล่นการพนัน 267 คน ค้าประเวณี 295 คน และความผิดเกี่ยวกับสถานบริการ 338 คน นอกจากนี้ ยังมีคดีที่น่าสนใจ บก.สปพ.ได้ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหา พร้อมของกลางยาเสพติดให้โทษประเภท 1 หรือ ยาไอซ์ 25.22 กรัม และยาบ้า 2,000 เม็ด

ผบช.น.ตัดต้นกระท่อมกลางกรุง กว่า 50 ต้น

วันเดียวกัน เมื่อเวลา 14.30 น. พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. พล.ต.ต.ชัยวัฒน์ ฉันทวรลักษณ์ ผบก.สปพ. นายชวัติ ชูเทศะ ผอ.ปปส.กทม. เดินทางไปตรวจสอบการบุกทำลายพืชกระท่อม ภายหลังที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ 191 ได้รับแจ้งจากประชาชนว่ามีการลักลอบปลูกต้นกระท่อมในพื้นที่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ติดกับหมู่บ้านพิพรพงษ์ 1 ซอย 7/1 ภายในซอยวิภาวดี 41 แขวงสนามบิน เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ ได้สนธิกำลังเจ้าหน้าที่ 40 นาย พร้อมเลื่อยยนต์ตัดทำลายต้นกระท่อมจำนวนกว่า 50 ต้น

ที่เกิดเหตุเป็นพื้นที่รกร้างว่างเปล่ากว่า 10 ไร่ ติดกับด้านหลังหมู่บ้านพิพรพงษ์ 1 พบต้นกระท่อมจำนวนมาก เจ้าหน้าที่จึงใช้เลื่อยยนต์ตัดทำลาย พร้อมกับนำน้ำยาการ์ซีลอน 4 อี จำนวน 1 ขวดผสมกับน้ำ 10 ลิตรเพื่อนำมาทาที่ตอของลำต้นที่ถูกตัดออกแล้ว เพื่อให้ต้นกระท่อมตายไม่สามารถงอกขึ้นมาอีก ก่อนนำพืชกระท่อมที่ตัดเสร็จสิ้นขึ้นรถไปเพื่อเผาทำลาย

พล.ต.ท.คำรณวิทย์ กล่าวว่า ต้องขอขอบคุณผอ.ปปส.กทม. หลังได้รับแจ้งเบาะแสว่ามีการลักลอบปลูกต้นกระท่อมในพื้นที่รกร้าง จึงได้มีการประสานงาน กระทั่งพบว่ามีการปลูกต้นกระท่อมจริงจำนวนมาก จึงสนธิกำลังเข้ามาจับกุม และทำลาย ซึ่งเป็นที่น่าตกใจเนื่องจากมีการปลูกต้นกระท่อมในพื้นที่ กทม.โดยเฉพาะในย่านดอนเมือง ซึ่งปกติจะพบมากในย่าน จ.ปทุมธานี สำหรับเขตพื้นที่ กทม.เพิ่งจะเคยเห็นที่มีจำนวนขนาดนี้ อยากฝากไปถึงการทางรถไฟให้เข้ามาตรวจสอบในพื้นที่ของตนเองที่ปล่อยทิ้งไว้รกร้างว่างเปล่าจนทำให้ถูกรุกล้ำพื้นที่ เพราะต้นกระท่อมดังกล่าวเป็นยาเสพติดประเภท 5 เป็นส่วนผสมสำคัญของยา 4 คูณ 100 หรือยาชูกำลังต้มผสม และมีการลักลอบส่งลงไปทางภาคใต้ซึ่งเป็นที่นิยมกันมาก อย่างไรก็ตาม ฝากไปถึงประชาชน หรือชาวบ้านถ้าพบเห็นเบาะแสที่ใดก็ช่วยแจ้งเข้ามายังเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อช่วยกันสกัดกั้นต้นตอยาเสพติด