xs
xsm
sm
md
lg

ฎีกาประหารชีวิต “โน้ต ณะวงศ์” ฆ่าตำรวจสุทธิสาร

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

ศาลฎีกาพิพากษายืนประหารชีวิต “โน้ต ณ วงค์” ใช้ไม้เบสบอลตีตำรวจสุทธิสารเสียชีวิต
ศาลฎีกาพิพากษายืนประหารชีวิต “โน้ต ณะวงศ์” ใช้ไม้เบสบอลตีตำรวจสุทธิสารเสียชีวิตเมื่อปี 2551 ศาลชี้มีพฤติการณ์อุกอาจ ไม่ยำเกรงกฎหมาย

วันนี้ (7 ก.ย.) เมื่อเวลา 10.30 น. ที่ศาลอาญา ถ.รัชดา ศาลอาญานัดอ่านคำพิพากษาศาลฏีกาในคดีหมายเลขดำที่ อ.3568/2550 ที่พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 4 สำนักงานอัยการสูงสุด เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายกฤษดา หรือโน้ต ณะวงศ์, นายสมชาย หรือปิค ณะวงศ์, นายอ๊อด หรือ โจ ณะวงศ์, นายอาทิตย์ หรือนิด ณะวงศ์, นายตู่ หรือโอ ณะวงศ์ และนายกิตติพงษ์ หรือแฟต ณะวงศ์ ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-6 ในความผิดฐาน ร่วมกันฆ่าเจ้าพนักงานที่กระทำการตามหน้าที่ ร่วมกันต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานโดยมีและใช้อาวุธ และร่วมกันกระทำความผิดตั้งแต่สามคนขึ้นไป

โจทก์ฟ้องและนำสืบว่า เมื่อวันที่ 21 ก.ค. 2551 จำเลยที่ 1, 4 และ 5 ได้ไปทวงคืนโทรศัพท์มือถือจากนายพยุงศักดิ์ พึ่งยา ภายในซอยวิภาวดี 16/9 ถนนวิภาวดีรังสิต จนมีปากเสียงกัน ต่อมา จ.ส.ต.วีระ ศรีอูด ผบ.หมู่ ป.สน.สุทธิสาร เข้ามาเห็นเหตุการณ์จึงเข้าไปห้าม กลับถูกจำเลยที่ 1 ใช้ไม้เบสบอลชี้ด่าพร้อมตะโกนถามว่า “มึงเสือกอะไร” จ.ส.ต.วีระตอบกลับไปว่า “กูเป็นตำรวจจะจับมึงไปโรงพัก” จากนั้นพวกจำเลยทั้งสามได้รีบขี่จักรยานยนต์ออกจากซอยไปโดยมี จ.ส.ต.วีระวิ่งตามไป

ขณะนั้นจำเลยที่ 1 เกิดขี่จักรยานยนต์เสียหลัก จึงวิ่งหนีออกไปทางปากซอย จ.ส.ต.วีระจึงขี่จักรยานยนต์ของจำเลยที่ 1 ตามออกไป โดยมีนายพิมาน เสนนอก ถือไม้เบสบอลของจำเลยที่ 1 ซึ่งตกอยู่นั่งซ้อนท้ายไปด้วย เมื่อไปถึงปากซอยวิภาวดี 16/9 จ.ส.ต.วีระได้ตรงเข้าจับกุมจำเลยที่ 1 ถึง 2 ครั้ง แต่จำเลยที่ 1 สะบัดตัวหลุดไปได้ ก่อนที่จำเลยที่ 1 จะชกเข้าที่หน้า จ.ส.ต.วีระ โดยที่จำเลยที่ 2-6 เข้ารุมทำร้าย กระทืบ จ.ส.ต.วีระที่ศีรษะ ลำตัว จากนั้นจำเลยที่ 1 ได้แย่งไม้เบสบอล จากมือของนายพิมาน พร้อมเงื้อไม้เบสบอลขึ้นฟาดที่ศีรษะ จ.ต.ส.วีระ ก่อนที่จำเลยทั้งหมดจะหลบหนีไป โดย จ.ส.ต.วีระได้เสียชีวิตในวันรุ่งขึ้น โดยแพทย์ระบุว่ามีอาการสมองบวม เมื่อถูกวัตถุของแข็งกระแทกอย่างแรง

โดยในคดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำ พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (2), 138 วรรค 2 ประกอบมาตรา 40 วรรคแรก และ 83 ให้ลงโทษฐานฆ่าเจ้าพนักงานที่กระทำการตามหน้าที่ อันเป็นบทลงโทษสูงสุดให้ประหารชีวิต ส่วนจำเลยที่ 2-6 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 ประกอบมาตรา 298, 138 ประกอบมาตรา 40 วรรคแรก ให้ลงโทษฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานที่กระทำการตามหน้าที่ ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2-5 เป็นเวลา 6 ปี ส่วนจำเลยที่ 6 มีอายุไม่เกิน 20 ปี ให้ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกเป็นเวลา 4 ปี ทั้งนี้ให้รวมโทษจำเลยที่ 2 กับโทษในคดีหมายแดงที่ 4139/2549 ของศาลแขวงพระนครเหนือ รวมจำคุกจำเลยที่ 2 ไว้ 6 ปี 2 เดือน และจำเลยที่ 3 ให้รวมโทษกับคดีหมายเลขแดงที่ อ.1664/2549 ของศาลอาญา รวมจำคุกจำเลยที่ 3 เป็นเวลา 7 ปี

ทั้งนี้ จำเลยทั้ง 6 คนอุทธรณ์สู้คดี โดยศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น

ต่อมาจำเลยที่ 1 ซึ่งได้รับโทษประหารชีวิตและพวกทั้ง 6 คนได้ยื่นฎีกาสู้คดี แต่ในภายหลังจำเลยที่ 2-6 ได้ยื่นคำร้องขอถอนฎีกา ทั้งนี้ศาลฎีกาตรวจสำนวนฎีกาของจำเลยที่ 1 แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ใช้ไม้เบสบอลตีศีรษะผู้ตายอย่างแรง ขณะที่จำเลยทั้งหกรุมทำร้ายที่ศีรษะผู้ตายจนสลบไปแล้ว และมีเลือดไหลออกปาก จมูกและหู การที่จำเลยที่ 1 ยังใช้ไม้เบสบอลตีที่ศีรษะผู้ตายซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญอีก จำเลยที่ 1 ย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าอาจทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายได้

ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาฆ่าผู้ตาย และขณะนั้นไม่มีภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายที่เป็นการละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดตามฟ้อง ฐานร่วมฆ่าเจ้าพนักงานในขณะปฏิบัติหน้าที่ และต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน ซึ่งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาประหารชีวิต ส่วนที่จำเลยอ้างคดีมีเหตุบรรเทาโทษ นั้นเห็นว่าจำเลยกระทำการอย่างอุกอาจ โดยไม่มีความเคารพยำเกรงต่อกฎหมาย เป็นการกระทำต่อหน้าคนจำนวนมาก อีกทั้งยังให้การปฏิเสธระหว่างสู้คดีมาตลอด ไม่เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ที่จำเลยฎีกามานั้นศาลไม่เห็นด้วย พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์
กำลังโหลดความคิดเห็น