xs
xsm
sm
md
lg

“พล.ต.จำลอง-ปานเทพ” เบิกความยัน “สนธิ” ไม่หมิ่นเบื้องสูง

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

พล.ต.จำลอง ศรีเมือง
“พล.ต.จำลอง” เบิกความยันการปราศรัยของ “สนธิ” บนเวทีพันธมิตรฯ เป็นการสรุปคำพูดของ น.ส.ดารณี สั้นๆ แค่ 5 บรรทัด เพื่อให้คนฟังทราบ และกดดันให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งติดตามจับกุมโดยไม่มีเจตนาหมิ่นเบื้องสูง

วันนี้ (28 ส.ค.) ที่ห้องพิจารณาคดี 908 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดสืบพยานจำเลยคดีหมายเลขดำที่ อ.2066/2553 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นเบื้องสูง กรณีเมื่อวันที่ 20 ก.ค. 2551 จำเลยได้นำคำปราศรัยของ น.ส.ดารณี ชาญเชิงศิลปะกุล จำเลยคดีหมิ่นเบื้องสูง ซึ่งศาลอาญามีคำพิพากษาจำคุก 18 ปี ไปพูดเผยแพร่ซ้ำบนเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์

โดยวันนี้ นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายจำเลย นำ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ เบิกความเป็นพยานว่า การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ เป็นการปกป้องและรักษาสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองในระบอบประธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ในการชุมนุมทุกครั้งจะมีการร้องเพลงเทียนแห่งธรรม มีเนื้อหาท่อนสำคัญว่า “จะขอเป็นยามรักษาแผ่นดิน ขอเอาชีวินพิทักษ์ราชัน” ซึ่งหมายความว่า หากชาติบ้านเมืองมีปัญหา เราก็จะต้องเข้ามาช่วยเหลือปกป้อง ไม่ให้มีใครมาทำลายสถาบัน อีกทั้งตลอดการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ นั้นก็ไม่เคยมีใครพูดจาจาบจ้วงสถาบัน และตนก็ไม่ยอมให้ใครมาดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วย เพราะตนถือเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ และหากนายสนธิไม่จงรักภักดีต่อสถาบัน ตนก็คงจะไม่คบหากับนายสนธิมาจนถึงปัจจุบัน และในการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ เมื่อถึงวาระสำคัญ เช่น 12 ส.ค.และวันที่ 5 ธ.ค.ก็จะจัดกิจกรรมและให้มีการถวายความจงรักภักดีแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถทุกครั้ง

พล.ต.จำลองเบิกความต่อว่า กรณีที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล ถูกฟ้องนั้น เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้มีการดำเนินคดีต่อ น.ส.ดารณี ที่ปราศรัยที่เวทีท้องสนามหลวงและมีการพูดจาจาบจ้วงสถาบันด้วยถ้วยคำหยาบคาย ตั้งแต่ช่วงเดือน ม.ค. เดือน มิ.ย.และวันที่ 18 -19 ก.ค. 2551 รวมทั้งหมด 5 ครั้ง ซึ่งช่วงนั้นพบว่ามีการเผยแพร่ข้อความจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างมากมาย ทั้งในเว็บไซต์ และบทความต่างๆ กระทั่งการปราศรัยของ น.ส.ดารณีที่เวทีท้องสนามหลวง ทำให้นายสนธิจำเป็นต้องออกมาพูดเพื่อกดดันไปยังเจ้าหน้าที่บ้านเมือง จนทำให้ในวันรุ่งขึ้นกองทัพบกได้มีหนังสือถึงผู้บัญชาการตำรวจนครบาลให้ดำเนินคดีต่อนางดารณีในข้อหาหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ตามมาตรา 112 นอกจากนี้ยังให้นายทหารพระธรรมนูญไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนด้วย

พล.ต.จำลองกล่าวต่อว่า ซึ่งการพูดบนเวทีปราศรัยของนายสนธินั้น เป็นการสรุปคำพูดของ น.ส.ดารณี สั้นๆ เพียงแค่ 5 บรรทัด เพื่อให้คนฟังทราบ และให้ตำรวจปฏิบัติตามหน้าที่โดยไม่ได้ขยายความแต่อย่างใด ซึ่งเมื่อนายสนธิพูดเสร็จ ตนก็เห็นด้วยว่าเป็นประโยชน์และจะทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งรัดดำเนินคดีต่อ น.ส.ดารณี ซึ่งพูดจาบจ้วงและหมิ่นเบื้องสูงหลายครั้ง และคาดว่าหากไม่มีการดำเนินคดีใดๆ น.ส.ดารณี ก็คงจะกระทำผิดซ้ำอีก นอกจากนี้ เห็นว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจและอัยการ ไม่ได้มีการปฏิบัติต่อแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ อย่างเท่าเทียมกัน เนื่องจากในคดีหมิ่นเบื้องสูง กรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. นายจักรภพ เพ็ญแข รวมทั้งกรณีนายโชติศักดิ์ อ่อนสูง ที่ไม่ยืนทำความเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมี ก็มีคำสั่งไม่ฟ้อง

ต่อมา นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขึ้นเบิกความเป็นปากที่ 2 ว่า ตนได้ฟังการพูดปราศรัยของนายสนธิ และทราบถึงเจตนาว่าการปราศรัยครั้งนี้สืบเนื่องมาจากที่ น.ส.ดารณี ชาญเชิงศิลปะกุล หรือดา ตอร์ปิโด แนวร่วม นปช. ปราศรัยที่เวทีสนามหลวง มีเนื้อหาหมิ่นสถาบันเบื้องสูง จึงจำเป็นต้องขึ้นพูดบนเวทีพันธมิตรฯ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีต่อ น.ส.ดารณี เพราะก่อนหน้านี้พบว่า น.ส.ดารณีได้ปราศรัยในลักษณะเดียวกันนี้หลายครั้ง แต่ไม่เคยเป็นข่าวว่ามีการดำเนินการใดๆ จากเจ้าหน้าที่ตำรวจเลย จนเมื่อนายสนธิได้พูดกับประชาชนให้รับรู้ว่า น.ส.ดารณีกระทำการหมิ่นเบื้องสูง จึงได้มีการแจ้งความดำเนินคดีต่อ น.ส.ดารณี จนภายหลังศาลมีคำพิพากษาจำคุก ต่อมานางดารณียอมรับและขอพระราชทานอภัยโทษ ซึงจะเห็นได้ว่านายสนธิไม่ได้มีเจตนาหมิ่นเบื้องสูง เพราะคนที่ได้รับฟังการปราศรัยนั้นไม่ได้คล้อยตามหรือเห็นด้วยกับการกระทำของ น.ส.ดารณี แต่แสดงความไม่พอใจกับคำพูดของนางดารณีและในการปราศรัยครั้งนั้นนายสนธิก็ได้ว่ากล่าว น.ส.ดารณี ซึ่งแสดงให้เห็นเจตนาชัดเจนที่แตกต่างกัน

นายปานเทพกล่าวต่อว่า ในช่วงเวลาที่นายสนธิปราศรัยนั้นเป็นช่วงเวลาในสมัยรัฐบาลของนายสมัคร สุนทรเวช ซึ่งได้เป็นนายกรัฐมนตรีเพราะมีความสนิทสนมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และปรากฏว่ามีการหมิ่นสถาบันเบื้องสูงแพร่หลาย ทั้งทางการปราศรัย และเว็บไซต์ต่างๆ ซึ่งรัฐบาลในสมัยนั้น ตำรวจ และอัยการ ไม่ให้ความใส่ใจเท่าที่ควร

ภายหลัง นายสนธิ ลิ้มทองกุล เปิดเผยว่า พรุ่งนี้ (29 ส.ค.) ศาลนัดไต่สวนพยานจำเลยนัดสุดท้าย จากนั้นก็จะทำสำนวนและนัดฟังคำพิพากษาต่อไป นอกจากนี้ นายสนธิยังกล่าวถึงกรณี รมว.กลาโหม ลงนามสั่งย้ายปลัดกระทรวงกลาโหมว่า ตนไม่ขอแสดงความคิดเห็น เพราะประเทศนี้เป็นของเขา ปล่อยให้เขาทำไป แต่อยากตั้งข้อสังเกตว่าขณะนี้เขายึดกองทัพเรือไปแล้ว และกำลังหาทางยึดกองทัพอากาศ ส่วนกองทัพบกก็ได้มีการเจรจากับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.เพื่อต่อรองตำแหน่งกัน เขาต้องการวางตัวไปถึงผู้บัญชาการกองพล ซึ่งได้มีการวางตัวเอาไว้แล้ว ก็เป็นธรรมดา เพราะเขาเห็นว่ามีอำนาจจึงจะใช้การเมืองมาคุมทหาร ทหารไทยวันนี้จึงดีแต่ปาก
กำลังโหลดความคิดเห็น