โดยผู้กองตั้ง
สะเทือนขวัญ! กันไปทั้งบางกับคดียายฆาตกรรมหลานแท้ๆ “น้องเบิร์ด” วัย 13 ปีที่เลี้ยงมาตั้งแต่อายุ 2 ขวบ โดยใช้ไม้ตีท้ายทอยหลานอย่างแรงขณะนอนคว่ำหน้าดูโทรทัศน์อย่างเพลิดเพลินจนเสียชีวิต ซึ่งผู้ต้องหาอ้างว่าเหตุที่ลงมือเพราะความโมโหหลานชายที่เป็นเด็กเกเร และเคยถูกทำร้ายอยู่บ่อยครั้ง โดยในวันก่อเหตุหลานใช้มีดขู่ฆ่าเพื่อขอเงิน ก่อนยายฆาตกรจัดแจงอำพรางศพ โดยนำร่างไร้วิญญาณห่อด้วยผ้านวมลากไปทิ้งที่บันไดหนีไฟ
ส่วนจะจริงหรือโกหกตามคำกล่าวอ้างคงยากจะพิสูจน์เพราะคนตายพูดไม่ได้ แต่จากประวัติของ “ยายสมจิตร” วัย 55 ปี ย่อมถือว่าไม่ธรรมดาแน่นอนในเรื่องของการระงับอารมณ์ เพราะเคยก่อคดีใช้อาวุธปืนยิงสามีตัวเองเสียชีวิตมาแล้วเมื่อปี 36 แต่ศาลยกฟ้องเพราะเห็นว่าเป็นการใช้บันดาลโทสะเช่นกัน
ย้อนรอย... คดีนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 13 ก.ค.ที่ผ่านมา เมื่อมีผู้พบศพ ด.ช.อรรถสิทธิ์ หรือ “น้องเบิร์ด” ลีเลิศยุทธ์ อายุ 13 ปี นักเรียนชั้น ม.1 เสียชีวิตอยู่ภายในอาคารยงเจริญคอมเพล็กซ์ ตึกดี ตั้งอยู่เลขที่ 80-80/207 ซอยสุภาพงษ์ 1 ถนนศรีนครินทร์ แขวงหนองบอน เขตประเวศ สภาพศพนอนคว่ำหน้าจมกองเลือด สวมเสื้อฟุตบอลสีเขียวทีมบาร์เซโลนา เบอร์ 8 นุ่งกางเกงขาสั้นสีน้ำเงิน จากการตรวจสอบตามร่างกายพบบาดแผลถูกของแข็งทุบที่คิ้วซ้าย ศีรษะด้านหลัง คอ และท้ายทอย จนเขียวช้ำ แพทย์สันนิษฐานว่าเสียชีวิตมาแล้วไม่เกิน 20 ชั่วโมง
แต่ชุดสืบสวน ผกก.สส.3 บก.บช.น. ภายใต้การนำของ พล.ต.ต.รณศิลป์ ภู่สาระ ผบก.สส.บช.น.ก็สามารถคลี่คลายคดีนี้ลงได้สำเร็จ โดยใช้เวลาเพียง 3 วัน หลังจากที่พนักงานสอบสวนได้เชิญ น.ส.วราภรณ์ คำแสน อายุ 38 ปี แม่ผู้ตาย พร้อมด้วยนางสมจิตร จำปาดี อายุ 55 ปี ยายผู้ตาย และนางนิด จำปาดี อายุ 50 ปี น้องสาวยาย มาสอบปากคำอย่างละเอียด
ปรากฏว่าฆาตกรโหดไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นนางสมจิตร ยายของน้องเบิร์ดนั่นเอง โดยเจ้าหน้าที่มีหลักฐานคือผลตรวจดีเอ็นเอเส้นผมที่ตกอยู่ในที่เกิดเหตุ และการแกะรอยจากรองเท้าแตะของผู้ตายที่ไม่ได้สวมใส่ขณะพบศพ ประกอบกับนางสมจิตรรับสารภาพว่าเป็นคนลงมือฆ่าหลานชายจริง โดยอ้างว่าเกิดจากความกดดันที่หลานชายชอบก่อเรื่องทะเลาะวิวาทกับคนอื่นจนทำให้ต้องอับอาย เพิ่งจะเข้าเรียนที่ใหม่ได้ไม่กี่เดือนก็ก่อเรื่องจนอาจารย์ต้องเชิญผู้ปกครองไปพบ นักเรียนตั้ง 2 พันกว่าคนแต่หลานเกเรอยู่คนเดียว หลานชายมีพฤติกรรมก้าวร้าวและเกเร เวลาว่ากล่าวตักเตือนมักจะเถียงและทุบตี ก่อนหน้านี้เคยทุบที่หน้าอกจนตนหายใจไม่ออกเป็นลมล้มพับไป แม้จะพยายามตักเตือนอบรมก็ไม่เชื่อฟัง โดยทุกครั้งที่มีปัญหาไม่เคยบอกให้แม่ของน้องเบิร์ดรู้เลยเพราะกลัวว่าจะเสียใจที่ลูกเป็นเด็กเกเร
“ก่อนเกิดเหตุหลังจากที่รู้ว่าหลานทะเลาะกับเพื่อนที่โรงเรียนก็ว่ากล่าวตักเตือน จากนั้นหลานได้ขอเงินจำนวน 500 บาทเพื่อจะไปเที่ยวแต่ก็บอกไปว่าไม่มี หลานก็เอามีดมาจี้พยายามจะทำร้าย ยายจึงบอกว่าอย่าทำยายเลย ยังไงยายก็ให้เงินอยู่แล้ว ด้วยความกลัวจึงโกหกไปว่ามีแบงก์พันเดี๋ยวช่วงหัวค่ำจะไปซื้อของเพื่อแลกเงินมาให้ แต่พอถึงเวลาแล้วไม่ได้ให้เขาก็เตะยายไป 1 ครั้ง บอกว่าหากไม่ให้ยายตายวันนี้ ยายก็ร้องไห้เสียใจ กระทั่งเวลาประมาณ 22.00 น. ขณะที่หลานชายนอนคว่ำหน้าดูโทรทัศน์อยู่ ได้ใช้ไม้ตีเข้าที่บริเวณท้ายทอยอย่างแรงจนหลานมีอาการชักกระตุก ก่อนจะแน่นิ่งไป ยายตกใจมากไม่คิดว่าหลานจะเสียชีวิต จากนั้นได้นำไม้ที่ใช้ตี ผ้านวมที่เปื้อนเลือดใส่ถุงพลาสติกไปทิ้งลงคลอง ก่อนจะกลับมาอำพรางศพโดยลากร่างของหลานชายจากห้องที่เกิดเหตุไปทิ้งที่บริเวณบันไดหนีไฟระหว่างชั้น 3 กับชั้น 4 ของอาคาร” นางสมจิตรรับสารภาพ
ลองถอดรหัส...แนวทางการสืบสวนสอบสวน ตร.พบหลักฐานสำคัญที่ปรากฏในตัวเหยื่อ นั่นคือ “ฝ่าเท้า” ไม่พบรอยคราบสกปรก และหลักฐานจากกล้องวงจรปิดบริเวณชั้นล่างทางเข้าออกของอาคารบันทึกภาพการเข้าออกของบุคคลที่อยู่ในอาคารในช่วงเวลาประมาณ 19.05 น.ของวันที่ 12 กรกฎาคมที่ผ่านมา สามารถบันทึกภาพ “น้องเบิร์ด” เดินเข้ามาภายในอาคารโดยไม่ได้ออกนอกอาคารอีกจนกระทั่งรับแจ้งพบศพ ส่วนสภาพบาดแผลตามร่างกายของน้องเบิร์ด บริเวณต้นคอด้านหลังมีรอยถลอก และบริเวณข้อมือทั้งสองข้างพบรอยคล้ายถูกรัดข้อมือ อีกทั้งรองเท้าแตะที่สวมใส่หายไป นั่นหมายความว่าจุดที่พบศพน้องเบิร์ดไม่ใช่สถานที่เกิดเหตุแต่อาจเป็นจุดที่อำพรางศพ ?!!
นายตำรวจบางคนถึงกับยอมรับว่า การสืบสวนคดีนี้เกือบทำให้หลงทางในการตามจับตัวผู้ต้องหา เนื่องจากเกือบควบคุมตัวชายต้องสงสัยรายหนึ่งซึ่งอยู่ในอาคารที่พักเดียวกับผู้ตาย โดยอาศัยพยานหลักฐานจากเส้นผมปริศนาที่ตกในที่เกิดเหตุ ซึ่งช่วงแรกสันนิษฐานว่าเป็นของผู้ชาย อีกทั้งชายต้องสงสัยรายนี้ ช่วงใกล้เคียงเวลาเกิดเหตุจากภาพวงจรปิดพบว่าลงมาซื้อของด้านล่างโดยที่ไม่ได้สวมรองเท้า และมีลักษณะทรงผมคล้ายเส้นผมปริศนาที่พบด้วย รวมทั้งผู้ต้องหาก็ให้ข่าวที่ไขว้เขวตลอดเวลา เพื่อให้จับต้นชนปลายไม่ถูก อีกทั้งช่วงที่เจ้าหน้าที่ชุดคลี่คลายคดีกำลังเร่งหาตัวคนร้าย นางสมจิตรได้สั่งให้มารดาของน้องเบิร์ดเร่งนำศพไปเผาบำเพ็ญกุศลทันทีหลังจากเพิ่งจะรับศพจากสถาบันนิติเวชได้เพียง 1 วันเท่านั้นเพื่อหวังจะทำลายหลักฐานทุกอย่างไม่ให้เหลือ
พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. กล่าวถึงคดีนี้ว่าเป็นคดีสะเทือนขวัญ โดยนางสมจิตรเป็นผู้ต้องสงสัยของตำรวจตั้งแต่แรกแล้ว แต่สาเหตุที่ยังไม่สามารถให้ข้อมูลได้เนื่องจากต้องการให้ผ่านงานศพของน้องเบิร์ดไปก่อน ไม่อยากให้ครอบครัวต้องสะเทือนใจมากไปกว่านี้ หลังจากเสร็จสิ้นงานศพตำรวจได้เชิญตัวมาสอบปากคำอย่างละเอียดอีกครั้ง ประกอบกับมีหลักฐานที่รวบรวมได้บางส่วนที่บ่งชี้ว่านางสมจิตรเป็นคนลงมือฆ่าน้องเบิร์ด ซึ่งนางสมจิตรก็ยอมรับสารภาพว่าใช้ไม้ที่อยู่ในห้องฟาดไปที่ศีรษะของน้องเบิร์ด 1 ครั้ง แต่ไม่คิดว่าจะทำให้ถึงกับเสียชีวิต จากนั้นได้ลากศพไปในจุดที่ได้พบศพ ซึ่งขณะนี้ก็รับสารภาพทั้งหมด สาเหตุที่ตนยังไม่ให้ข้อมูลทันที เนื่องจากตำรวจจะฟังคำรับสารภาพจากผู้ต้องหาฝ่ายเดียวไม่ได้ ต้องมีหลักฐานอื่นๆ ที่มายืนยันพิสูจน์ทราบให้ได้ว่าเป็นผู้กระทำผิดจริงๆ โดยก่อเหตุเพียงคนเดียว
ที่น่าสนใจคือ พล.ต.ท.คำรณวิทย์เปิดเผยด้วยว่า นางสมจิตรเคยตกเป็นผู้ต้องหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา โดยก่อเหตุใช้อาวุธปืนขนาด 11 มม.ยิงใส่สามีของตนทราบนามว่า นายมานะ โชคลิขิต เมื่อเวลา 15.30 น.ของวันที่ 22 ก.ค. 2536 ภายในบ้านเลขที่ 55/1 ซอยบุญแจ่ม 1 แขวงบางนา เขตพระโขนง ท้องที่ สน.บางนา และศาลได้ยกฟ้อง เนื่องด้วยก่อเหตุด้วยบันดาลโทสะ เป็นการต่อสู้ด้วยการป้องกันตัว แล้วให้รอลงอาญาเป็นเวลา 2 ปี
พร้อมกับกล่าวว่าการนำผู้ต้องหามาแถลงข่าวในครั้งนี้อาจเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก หรือไม่ ดังนั้นการนำเสนอข่าวจึงให้มีการปิดหน้า และให้ผู้ต้องหาพูดตามที่เขาต้องการจะพูด ผู้ต้องหาเองก็ยินยอมเต็มใจอยากจะพูดกับสื่อมวลชนและอยากอธิบายให้เข้าใจ โดยผู้ต้องหาก็จะไม่พูดถึงหลานในทางเสียหาย และไม่เป็นการซ้ำเติมหลาน รวมทั้งจะไม่นำตัวผู้ต้องหาไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และนำส่งพนักงานสอบสวน สน.พระโขนงดำเนินคดี โดยเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ปฏิเสธที่จะทำแผนประกอบคำรับสารภาพเนื่องจากเป็นคดีเกี่ยวกับความรุนแรงในครอบครัว
ในระหว่างการนำตัวผู้ต้องหาไปสอบสวนเพิ่มเติมที่ สน.พระโขนงหลังให้การรับสารภาพ น.ส.วราภรณ์ คำแสน แม่น้องเบิร์ด และญาติๆ มาเฝ้ารอผู้ต้องหาที่ สน.ด้วย บรรยากาศเป็นไปด้วยความโศกเศร้าของคนในครอบครัว เมื่อนางสมจิตรมาถึง น.ส.วราภรณ์วิ่งเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ด้วยความเสียใจและเข้าใจในสิ่งที่ผู้เป็นยายกระทำลงไป อีกทั้งได้ปลอบโยนว่าอย่าคิดมากกับสิ่งที่ทำลงไปด้วยความอดทนอดกลั้นมาเป็นเวลายาวนานจึงได้ก่อเหตุดังกล่าว อีกทั้งเป็นห่วงเกรงว่าผู้ต้องหาจะพยายามฆ่าตัวตายด้วยความเครียดอีกด้วย
!! คดีฆาตกรรมโหดยายฆ่าหลาน แม้จะจบลงด้วยความโศกเศร้าของทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวของผู้สูญเสีย เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน หรือแม้กระทั่งประชาชนผู้เฝ้าติดตามข่าวสาร แต่ “คดีน้องเบิร์ด” ย่อมเป็นอุทาหรณ์ที่สะท้อนถึงปัญหาสังคมทุกวันนี้ ที่อยู่อย่าง “ชีวิตต้องสู้” และหากเกิดปัญหาครอบครัวแตกแยก แม่-ลูกไม่ได้อยู่ด้วยกัน เด็กก็จะขาดความอบอุ่น ติดเพื่อน และกลายเป็นคนเกเรได้ง่ายขึ้น ประจวบเหมาะผู้ปกครองเด็กเป็นคนเครียด ขาดความยับยั้งชั่งใจ คดีเกี่ยวกับความรุนแรงในครอบครัวก็จะเกิดขึ้นอย่างไม่มีหยุดยั้ง.....ก็ขอภาวนาให้คดี “น้องเบิร์ด” เกิดขึ้นเป็นรายสุดท้าย