รอง ผบช.น.ด้านจราจรรับลูกนโยบาย “ผบช.น.” กำชับตำรวจ จร.ระวังเรื่องการตั้งด่าน (ว.43) อย่าตั้งด่านทับซ้อนในพื้นที่เดียวกันให้ประชาชนเดือดร้อน ขู่ฟันไม่เลี้ยง “ตร.จราจร” นอกแถวแอบเก็บส่วยริมทาง ปัดไม่มีเรื่องทำยอดใบสั่ง ชี้ความผิดเล็กน้อย ตร.เตือนอยู่แล้ว พร้อมเน้นย้ำ 12 ความผิด พ.ร.บ.จราจร เตือนไม่ได้ต้องจับเพราะสร้างความเดือดร้อนให้สังคม
วันนี้ (24 ก.ค.) ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ต.วรศักดิ์ นพสิทธิพร รอง ผบช.น. ดูแลงานด้านจราจร เปิดเผยหลังจาก พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น.มอบนโยบายให้กับข้าราชการตำรวจในสังกัดนครบาล โดยเน้นให้ตำรวจจราจรจับกุม กวดขันผู้ผิดวินัย รวมทั้ง การออกใบสั่งและการตั้งด่านจราจรของเจ้าหน้าที่ ที่สโมสรตำรวจ วานนี้ (23 ก.ค.) ว่า นโยบายของ ผบช.น.ที่มอบให้นั้นได้สอดคล้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจจราจรอยู่แล้ว โดยการทำงานของเจ้าหน้าที่มีการวางแผนล่วงหน้าในการตั้งด่านแต่ละครั้ง ซึ่งจะต้องไม่ทำให้การจราจรติดขัด และต้องไม่มีการตั้งด่านทับซ้อนกันในพื้นที่เดียวกัน รวมทั้งที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่มีการตั้งด่านตรวจปกติ (ว.43) เป็นประจำในพื้นที่ต่างๆ ทั่ว กทม. นอกจากนี้ ตำรวจจราจรที่ประพฤติออกนอกลู่นอกทางหรือตั้งด่านเองนั้น ได้สังเกตการณ์และกวดขันอย่างจริงจัง หากพบว่ามีการกระทำผิดดังกล่าวจริงจะมีมาตรการลงโทษอย่างเด็ดขาด
พล.ต.ต.วรศักดิ์กล่าวอีกว่า สำหรับเรื่องที่ ผบช.น.ได้สั่งการให้ออกใบเตือนกับผู้กระทำผิดกฎจราจรนั้น หากเป็นความผิดเล็กน้อย เจ้าหน้าที่จะว่ากล่าวตักเตือนอยู่แล้ว ส่วนเรื่องที่ว่าแต่ละสถานีเร่งทำยอดใบสั่งนั้น ขอยืนยันว่าไม่มีเด็ดขาด เพราะช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาได้กำชับอยู่ตลอดเวลา
พล.ต.ต.วรศักดิ์กล่าวอีกว่า เรื่องแบ่งยอดของการจับกุมตามกฎหมาย ระบุไว้ชัดเจนว่าต้องแบ่งเข้าหลวงเท่าไหร่บ้าง แต่เท่าที่ทราบตำรวจจะได้ส่วนแบ่งราว 40 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ ขอยืนยันว่าไม่มีการสั่งให้จับเพื่อทำยอด แต่ให้เน้น 12 ข้อหาหลักที่จะสร้างความเดือดร้อนต่อสังคม รวมถึงตำรวจจราจรก็ต้องคอยตรวจตราอาชญากรรมร่วมกับหน่วยอื่นด้วย โดยหลังจากเวลา 20.00 น.ที่การจราจรเบาบางก็ให้ช่วยดูแลประชาชน เรียกว่าส่งคนกลับบ้านอย่างปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม ตำรวจจราจรได้กวดขันผู้ผิดวินัยจราจร 12 ข้อหลักที่เตือนไม่ได้ และต้องจับกุม เพราะสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนทั่วไปและเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง ประกอบด้วย 1. ข้อหาแข่งรถในทาง 2. ขับรถเร็ว 3. แซงในที่คับขัน 4. เมาแล้วขับ 5. ขับรถย้อนศร 6. ไม่สวมหมวกนิรภัย 7. จอดรถซ้อนคัน 8. ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน 9. มลพิษควันดำ 10. จอดรถในที่ห้ามจอด 11. การจอดรถบนทางเท้า และ 12. การขับรถบนทางเท้า อย่างเข้มข้น
วันนี้ (24 ก.ค.) ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ต.วรศักดิ์ นพสิทธิพร รอง ผบช.น. ดูแลงานด้านจราจร เปิดเผยหลังจาก พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น.มอบนโยบายให้กับข้าราชการตำรวจในสังกัดนครบาล โดยเน้นให้ตำรวจจราจรจับกุม กวดขันผู้ผิดวินัย รวมทั้ง การออกใบสั่งและการตั้งด่านจราจรของเจ้าหน้าที่ ที่สโมสรตำรวจ วานนี้ (23 ก.ค.) ว่า นโยบายของ ผบช.น.ที่มอบให้นั้นได้สอดคล้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจจราจรอยู่แล้ว โดยการทำงานของเจ้าหน้าที่มีการวางแผนล่วงหน้าในการตั้งด่านแต่ละครั้ง ซึ่งจะต้องไม่ทำให้การจราจรติดขัด และต้องไม่มีการตั้งด่านทับซ้อนกันในพื้นที่เดียวกัน รวมทั้งที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่มีการตั้งด่านตรวจปกติ (ว.43) เป็นประจำในพื้นที่ต่างๆ ทั่ว กทม. นอกจากนี้ ตำรวจจราจรที่ประพฤติออกนอกลู่นอกทางหรือตั้งด่านเองนั้น ได้สังเกตการณ์และกวดขันอย่างจริงจัง หากพบว่ามีการกระทำผิดดังกล่าวจริงจะมีมาตรการลงโทษอย่างเด็ดขาด
พล.ต.ต.วรศักดิ์กล่าวอีกว่า สำหรับเรื่องที่ ผบช.น.ได้สั่งการให้ออกใบเตือนกับผู้กระทำผิดกฎจราจรนั้น หากเป็นความผิดเล็กน้อย เจ้าหน้าที่จะว่ากล่าวตักเตือนอยู่แล้ว ส่วนเรื่องที่ว่าแต่ละสถานีเร่งทำยอดใบสั่งนั้น ขอยืนยันว่าไม่มีเด็ดขาด เพราะช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาได้กำชับอยู่ตลอดเวลา
พล.ต.ต.วรศักดิ์กล่าวอีกว่า เรื่องแบ่งยอดของการจับกุมตามกฎหมาย ระบุไว้ชัดเจนว่าต้องแบ่งเข้าหลวงเท่าไหร่บ้าง แต่เท่าที่ทราบตำรวจจะได้ส่วนแบ่งราว 40 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ ขอยืนยันว่าไม่มีการสั่งให้จับเพื่อทำยอด แต่ให้เน้น 12 ข้อหาหลักที่จะสร้างความเดือดร้อนต่อสังคม รวมถึงตำรวจจราจรก็ต้องคอยตรวจตราอาชญากรรมร่วมกับหน่วยอื่นด้วย โดยหลังจากเวลา 20.00 น.ที่การจราจรเบาบางก็ให้ช่วยดูแลประชาชน เรียกว่าส่งคนกลับบ้านอย่างปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม ตำรวจจราจรได้กวดขันผู้ผิดวินัยจราจร 12 ข้อหลักที่เตือนไม่ได้ และต้องจับกุม เพราะสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนทั่วไปและเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง ประกอบด้วย 1. ข้อหาแข่งรถในทาง 2. ขับรถเร็ว 3. แซงในที่คับขัน 4. เมาแล้วขับ 5. ขับรถย้อนศร 6. ไม่สวมหมวกนิรภัย 7. จอดรถซ้อนคัน 8. ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน 9. มลพิษควันดำ 10. จอดรถในที่ห้ามจอด 11. การจอดรถบนทางเท้า และ 12. การขับรถบนทางเท้า อย่างเข้มข้น