xs
xsm
sm
md
lg

ศาลอุทธรณ์สั่งประหาร “ชาการิม” หน.โจรพูโลใหม่

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ประหารชีวิต “กอเซ็ง มะนาเซ” หรือ “ชาการิม” หัวหน้าขบวนการโจรพูโลใหม่ ฐานกระทำการเป็นกบฏ แต่คำให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา เห็นควรลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกตลอดชีวิต คดีนี้ศาลพิเคราะห์จำเลยเป็นพวกหัวรุนแรงทางการเมือง ปลุกระดมชาวมุสลิมลอบวางระเบิด เผาสถานที่ราชการ ฆ่าเจ้าหน้าที่ เป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครอง โดยก่อนหน้านี้ศาลชั้นต้นสั่งยกฟ้องแต่ให้ขังไว้ระหว่างอุทธรณ์

วันนี้ (27 มิ.ย.) ที่ห้องพิจารณาคดี 814 ศาลอาญานัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำ อ.4748/2549 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 8 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายกอเซ็ง หรืออูเซ็ง หรือมะนาเซ หรือชาการิม หรือซาการิม เจะเลาะ หรือเจ๊ะเลาะ หรือเจ๊ะเล๊าะ หัวหน้ากลุ่มปฏิบัติการในเมือง “ขบวนการพูโลใหม่” เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันเป็นกบฏเพื่อแบ่งแยกราชอาณาจักร สะสมกำลังพลและอาวุธ สมคบกันเพื่อเป็นกบฏ และสมคบกันเป็นซ่องโจรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113, 114, 210 ประกอบมาตรา 83, 32, 33

โดยโจทก์ยื่นฟ้องระบุความผิดสรุปว่า เมื่อปี พ.ศ. 2511 - 10 ก.พ. 2541 จำเลยซึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่มปฏิบัติการในเมือง “ขบวนการพูโลใหม่” ได้ร่วมกับ นายหะยี ดาโอ๊ะ ท่าน้ำ, นายหะยี ฮาเซ็ม อับดุลเลาะห์มาน, นายอับดุล รอมาน และนายสะมะแอ ท่าน้ำ และนายยามี มะเซ๊ะ หรือนายยามิง หรือยามี มะเสะ จำเลยที่ 1-5 ในคดีหมายเลขแดง 3666/2545 และ 3667/2545 ของศาลอาญา และกับพวกอีกจำนวนมากที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง สมคบกันเป็นตัวการ แบ่งแยกหน้าที่กันกระทำการเป็นกบฏ สะสมกำลังพลและอาวุธเพื่อแบ่งแยกราชอาณาจักร ก่อตั้งองค์การทางการเมืองที่ชื่อว่า “องค์การปลดแอกแห่งชาติปัตตานี” หรือ “องค์การปลดปล่อยรัฐปัตตานี” หรือ “องค์การปลดปล่อยสหปัตตานี” หรือ “ PATANI UNITEDLIBERATION ORGANISATION” ใช้อักษรย่อภาษาอังกฤษว่า “P.U.L.O.” ซึ่งรู้จักกันในชื่อภาษาไทยว่า “ขบวนการพูโล” โดยการก่อตั้งมีวัตถุประสงค์แบ่งแยกดินแดน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ได้แก่ จ.ยะลา, ปัตตานี, นราธิวาส, สตูล และบางส่วนของ จ.สงขลา ใน อ.จะนะ อ.สะบ้าย้อย และ อ.เทพา เพื่อสถาปนาเป็นรัฐอิสระปกครองตนเองในชื่อว่า “สาธารณรัฐอิสลามปัตตานี” หรือ “ประเทศอิสลามมลายูปัตตานี” หรือ “ประเทศมลายูอิสลามปัตตานี” ซึ่งองค์กรนั้นได้มีปฏิบัติการข่มขู่กรรโชกทรัพย์เรียกเงินค่าคุ้มครองจากพ่อค้า นักธุรกิจในเขตพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อนำเงินจัดซื้ออาวุธปืน ทำการลอบยิงตำรวจ ทหาร ลอบวางระเบิดทางรถไฟ ซุ่มยิงขบวนรถไฟ เผาสะพาน เผาโรงเรียน และจับคนเรียกค่าไถ่ รวมถึงวางระเบิดสถานที่ราชการสำคัญ เช่น ศาลากลางจังหวัด สถานีตำรวจ สถานีรถไฟ วางระเบิดโรงแรม และโรงเรียน เหตุเกิดที่ทุกตำบล ทุกอำเภอของ จ.ยะลา จ.ปัตตานี จ.นราธิวาส และจ.สตูล และที่อ.จะนะ อ.สะบ้าย้อย อ.เทพา และอ.หาดใหญ่ จ.สงขลา และประเทศมาเลเซีย เกี่ยวพันกัน ซึ่งขอให้ศาลนับโทษจำเลยคดีนี้ กับโทษคดีอาญาหมายเลขดำที่ 216/2549, 285/2549 และ 907/2549 ของศาลจังหวัดปัตตานีด้วย จำเลยให้การปฏิเสธ

คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 51 ให้ยกฟ้องจำเลย แต่ให้ขังจำเลยไว้ในระหว่างอุทธรณ์ และริบของกลาง โดยโจทก์ยื่นอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้ว ข้อเท็จจริงที่สองฝ่ายไม่ได้โต้แย้งกัน รับฟังได้ว่า สมัยรัชกาลที่ 5 ได้ยกเลิกการปกครองรัฐปัตตานี โดยเปลี่ยนเป็นการปกครองแบบผู้ว่าราชการจังหวัด ทำให้ผู้มีอำนาจเก่าในปัตตานีรวมตัวเป็นองค์กรใต้ดินเพื่อก่อความไม่สงบ ซึ่งมีขบวนต่างๆ ได้แก่ กลุ่มพูโล, บีอาร์เอ็น, มูจาฮีดิน ที่รวมกันเป็น “ขบวนการเบอร์ซาตู” เพื่อร่วมปลดแอกรัฐปัตตานี และแบ่งแยก 5 จังหวัดภาคใต้เป็นสหพันธรัฐปัตตานี โดยมีการลอบยิงเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ยอมรับการปกครองของไทย ซึ่งมีเงินสนับสนุนจากต่างประเทศ แต่ต่อมากลุ่มพูโล เกิดความขัดแย้งภายใน จึงแยกตัวออกมาเป็นพูโลใหม่แต่มีแนวทางเดียวกัน กระทั่งปี 2541 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมนายหะยี ดาโอ๊ะ หัวหน้ากลุ่มพูโลใหม่ ในความผิดฐานเป็นกบฏ ซึ่งนายหะยีได้ซัดทอดว่านายซาการิมเป็นหัวหน้ากลุ่มในเมืองของกลุ่มพูโลใหม่ ต่อมาวันที่ 7 ธ.ค. 48 จำเลยถูกจับ ตามหมายจับคดีฆ่าผู้อื่น ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นนายซาการิม โดยจำเลยให้การปฏิเสธ

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ พนักงานสอบสวน พยานโจทก์ เบิกความรับฟังได้ว่า ชื่อ “ซาการิม” เป็นนามแฝงของกลุ่มพูโลใหม่ ซึ่งขบวนการดังกล่าวมีการกำหนดยุทธวิธี ปลุกระดมชาวมุสลิมลอบวางระเบิด เผาสถานที่ราชการ ฆ่าเจ้าหน้าที่ รัฐ จึงทำให้ต้องปกปิดชื่อจริง และทำให้พยานบุคคลไม่กล้าชี้ตัวเพราะเกรงจะถูกทำร้าย นอกจากนี้โจทก์ ยังมีพยานหลักฐานเกี่ยวกับหน่วยงานข่าวกรองที่มีข้อมูลทางราชการว่า ข้อมูลและหลักฐานภาพถ่ายของนายซาการิม นายกอเซ็ง และจำเลย ที่มีชื่อจริงว่า “มะนาเซ เจ๊ะเลาะ” มีบทบาทสำคัญในการฝึกและวางแผนก่อการร้าย ซึ่งภาพถ่ายดังกล่าวเป็นบัตรประชาชนที่มีเลขรหัสตรงกันภาพตามหมายจับ ที่แม้ส่วนสูงของบุคคลในภาพจะต่างกัน แต่อาจเป็นเพราะเกิดจากช่วงวัยที่ยังเติบโตไม่เต็มที่ โดยวันที่จำเลยถูกจับกุมขณะกำลังออกนอกประเทศ จำเลยก็ยอมรับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับ เจ้าหน้าที่จึงแจ้งข้อหา จึงเห็นว่าเจ้าหน้าที่ได้ปฏิบัติการจับกุมตามหน้าที่ โดยไม่มีเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน ประกอบกับเมื่อถูกจับกุมจำเลยได้ลงลายมือชื่อ ทั้งในชื่อ “มะนาเซ, ซาการิม และกอเซ็ง” โดยจำเลยรับว่าเป็นผู้ยิงและได้หลบหนีจริง ส่วนที่อ้างว่าถูกบังคับให้ลงชื่อเห็นว่า หากจำเลยรู้ว่าไม่ใช่บุคคลในภาพก็ไม่สมควรลงลายมือชื่อ

นอกจากนี้ ทางนำสืบที่จำเลยว่าได้ศึกษาต่อที่ประเทศซีเรีย และลิเบีย โดยใช้ชีวิตประเทศมาเลเซียนานถึง 10 ปี จำเลยก็ไม่ได้นำพยานมาเบิกความถึงการดำเนินชีวิตของจำเลยว่าเป็นไปอย่างไร ซึ่งแสดงให้เห็นว่าจำเลยกับกลุ่มพวก เป็นพวกหัวรุนแรงทางการเมือง มีลักษณะเป็นปฏิปักษ์ต่อประเทศไทย จึงทำให้จำเลยไม่สามารถนำพยานมาสืบสนับสนุนได้ ข้อต่อสู้จำเลยไม่อาจหักล้างโจทก์ได้ อุทธรณ์โจทก์ฟังขึ้น ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้องนั้น ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วย

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตาม มาตรา 210, 114 และ 113 ประกอบมาตรา 83 ให้จำคุก 5 ปี ฐานสมคบกันเป็นซ่องโจร และให้ประหารชีวิต ฐานกระทำการเป็นกบฏ คำให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา เห็นควรลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกฐานซ่องโจร เป็นเวลา 3 ปี 4 เดือน และฐานเป็นกบฏ ให้จำคุกตลอดชีวิต และเมื่อรวมโทษจำคุกแล้วให้จำคุกจำเลยไว้ตลอดชีวิต โดยให้นับโทษ 216/2549, 285/2549, 245/2549 และ 907/2549 ของศาลจังหวัดปัตตานีด้วย

ภายหลังฟังคำพิพากษา บุตรสาวและญาติของนายกอเซ็งถึงกับร่ำไห้เสียใจ ขณะที่นายกอเซ็งพยายามพูดปลอบใจบุตรสาว
กำลังโหลดความคิดเห็น