xs
xsm
sm
md
lg

GMM ส่งทนายค้านไต่สวนทีวีจอดำ แย้งศาลแพ่งไม่มีอำนาจรับคำร้อง

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค(แฟ้มภาพ)
ศาลนัดไต่สวนฉุกเฉินคดีองค์กรเพื่อผู้บริโภคฟ้อง “จีเอ็มเอ็ม แซท” ละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานทำทีวีจอดำ ด้านจำเลยส่งทนายเข้าคัดค้านคำร้องชั่วคราวอ้างลิขสิทธิ์ อันอาจจะส่งผลเสียต่อจำเลย อ้างคำฟ้องไม่ใช่คดีผู้บริโภค ศาลแพ่งจึงไม่มีอำนาจพิจารณาคดี

วันนี้ (26 มิ.ย.) ที่ห้องพิจารณาคดี 310 ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดไต่สวนฉุกเฉินคดีหมายเลขดำ ผบ.1841/2555 ที่ น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาฯมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค, น.ส.บุญยืน ศิริธรรม ประธานสหพันธ์องค์กรผู้บริโภค กับพวกรวม 5 ราย ซึ่งเป็นผู้บริโภคใช้บริการสาธารณะฟรีทีวี และผู้ใช้ระบบเคเบิลทีวีและดาวเทียม ร่วมเป็นโจทก์ยื่นฟ้องคดีผู้บริโภค บริษัท บีอีซี-เทโร เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการสถานีโทรทัศน์ทีวีช่อง 3, กองทัพบก ผู้ให้บริการสถานีโทรทัศน์ ททบ.5, บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ และบริษัท จีเอ็มเอ็ม แซท จำกัด เป็นจำเลยที่1-4 เรื่องร่วมกันทำละเมิด และผิดสัญญา โดยขอให้ศาลไต่สวนเพื่อขอคุ้มครองฉุกเฉิน ให้จำเลยที่ 1-4 แพร่ภาพถ่ายทอดสดฟุตบอลยูโรโดยด่วนที่สุด ก่อนการแข่งขันจะสิ้นสุดในวันที่ 2 ก.ค.นี้

โดยก่อนเริ่มการไต่สวน ทนายความบริษัทจีเอ็มเอ็ม จำเลยที่ 4 ยื่นคำร้องคัดค้านคำขอฉุกเฉิน ระบุว่า จำเลยที่ 4 ขอคัดค้านคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษา เนื่องจากคำขอของโจทก์ไม่เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย ไม่มีมูล ไม่อาจบังคับได้ตามกฎหมาย เนื่องจากเป็นการขอให้ศาลบังคับให้จำเลยทั้ง 4 แพร่ภาพการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2012 อันจะส่งผลให้จำเลยที่ 4 เป็นกระทำผิดตามกฎหมาย เพราะจะมีการละเมิดลิขสิทธิ์ตามกฎหมายลิขสิทธิ์ ที่โจทก์ขอคุ้มครองชั่วคราวดังกล่าวจึงไม่ชอบ โจทก์ทั้งหมดก็ทราบดีว่าเรื่องดังกล่าวจะส่งผลต่อการละเมิดลิขสิทธิ์ จึงไม่มีเหตุอันสมควรที่จะขอให้ศาลมีคำสั่งอันจะนำไปสู่การปฏิบัติผิดกฎหมาย และจะเกิดความเสียหายแก่จำเลยได้ ดัวยเหตุผลดังกล่าวคำขอคุ้มครองชั่วคราวของโจทก์จึงไม่มีมูล ไม่มีเหตุจำเป็น และเพียงพอที่ศาลจะมีคำสั่งใช้วิธีการชั่วคราวได้ ขอให้ศาลยกคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวของโจทก์

นอกจากนี้ จำเลยยังยื่นคำร้องพิจารณาเขตอำนาจศาลด้วยว่า กองทัพบก จำเลยที่ 2 เป็นหน่วยงานของรัฐ ตามที่โจทก์กล่าวอ้าง จึงเป็นกรณีหน่วยงานของรัฐผิดสัญญาทางปกครองไม่อยู่ในเขตอำนาจศาลยุติธรรมที่จะรับคดีไว้พิจารณา อยู่ในเขตอำนาจศาลปกครองกลาง จึงขอให้ศาลโอนคดีไปยังศาลปกครองกลาง และจำหน่ายคดีออกจากสารบบความเสีย

อีกทั้งการฟ้องคดีไม่ใช่คดีผู้บริโภค เพราะเป็นการใช้สิทธิฟ้องตามสัญญา ยิ่งกว่านั้นการรับชมฟรีทีวี ไม่ใช่การรับคำเสนอหรือการชักชวนจากจำเลยทั้ง 4 โจทก์จึงไม่ใช่ผู้บริโภคตามกฎหมายคดีนี้ จึงขอให้ศาลแพ่งส่งเรื่องให้กับประธานศาลอุทธรณ์วินิจฉัย เนื่องจากจำเลยทั้ง 4 เป็นผู้มีลิขสิทธิ์ในการถ่ายทอดสดฟุตบอลยูโร 2012 หากจำเลยเผยแพร่ฟรีทีวีตามคำฟ้องของโจทก์ จะเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ของเจ้าของลิขสิทธิ์คดีของจำเลยทั้ง 4 จึงเป็นกรณีที่อยู่ในอำนาจของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศด้วย ศาลแพ่งจึงไม่มีอำนาจพิจารณาคดีของโจทก์

ภายหลังรับคำร้องคัดค้านของจำเลยทั้ง 2 ฉบับแล้ว องค์คณะผู้พิพากษาศาลแพ่ง มีความเห็นพักการไต่สวนไว้ก่อน พร้อมนำคำร้องไปหารือ ก่อนจะนัดฟังคำสั่งในเวลา 13.30 น.ต่อไปว่าจะดำเนินการไต่สวนหรือไม่

ขณะที่ นางสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า เนื่องจากบริษัท จีเอ็มเอ็มฯ ยื่นคำร้องคัดค้านไม่ให้มีการไต่สวนอ้างว่าไม่ใช่คดีผู้บริโภค และโต้แย้งว่าโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 5 เป็นหน่วยงานของรัฐ ต้องไปยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง ศาลแพ่งจึงนำคำคัดค้านไปพิจารณาก่อน ซึ่งตนเห็นว่าเป็นเพียงแค่เรื่องเทคนิคในการยื้อคดีไม่ให้ทันกาล โดยเรามั่นใจว่าโจทก์ทั้งหมดเป็นผู้บริโภคเข้าข่ายตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 อย่างแน่นอน

ส่วนการยื่นฟ้องช่อง 5 นั้น เราฟ้องในฐานะผู้ประกอบการโทรทัศน์ ไม่ใช่เรื่องการปกครองตามที่จำเลยคัดค้านแต่อย่างใด ขณะที่การไต่สวนหากศาลมีคำสั่งให้ไต่สวน เราเตรียมพยานเข้าเบิกความรวม 5 คน ประกอบด้วย นายแก้วสรร อติโพธิ อดีตเลขาธิการ คตส., น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ และนายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กสทช., นายไพบูลย์ ช่วงทอง คณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค รวมทั้งตนเอง

ต่อมาช่วงบ่าย ภายหลังศาลใช้เวลาปรึกษาหารือเสร็จสิ้นแล้ว เมื่อเวลา 15.05 น. ที่ห้องพิจารณาคดี 711 ศาลจึงเริ่มการไต่สวนฉุกเฉิน โดยนางสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เบิกความเป็นพยานปากแรก ว่า ทำงานในองค์กรผู้บริโภค ได้รับการร้องเรียนมากจากประชาชนจำนวนมากที่ใช้จานดาวเทียมได้รับความเสียหาย เนื่องจากจำเลยทั้ง 4 ร่วมมือกันไม่ปล่อยสัญญาณการการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ ยูโร 2012 ทำให้ไม่สามารถรับชมผ่านช่อง 3 , 5 และ 9 ได้ตามปกติ ก่อนหน้านี้ที่บ้านใช้เสาอากาศโทรทัศน์ชนิดก้างปลาตามปกติ แต่ไม่สามารถรับชมภาพและเสียงได้คมชัด เนื่องจากบ้านมีคอนโดมิเนียมตั้งขวางสัญญาณ จึงตัดสินใจซื้อจากดาวเทียม PSI เพื่อรับชมช่องฟรีทีวีทั่วไป กระทั่งมีการแข่งขันฟุตบอล ยูโร 2012 จำเลยทั้ง 4 ร่วมกันไม่ปล่อยสัญญาณ ทำให้ไม่สามารถรับชมได้ อีกทั้งไม่มีรายการทดแทน การกระทำของจำเลยทั้ง 4 เป็นการละเมิดโจทก์ ที่ควรได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้บริโภค จำเลยทั้ง 4 ใช่เล่ห์เหลี่ยมทางธุรกิจในการกีดกันไม่ให้โจทก์ได้รับชม หากใครอยากรับชมการแข่งขันต้องซื้อกล่องราคากล่องรับสัญญาณของจำเลยที่ 4 ราคากล่องละ 1,590 บาท ทำให้ผู้บริโภคราว 11 ล้านครัวเรือนที่ไม่ได้รับชม หากผู้บริโภคทั้ง 11 ล้านครัวเรือนต้องการรับชมต้องเสียเงินซื้อกล่อง คิดเป็นเงินสูงถึง 15,000 ล้านบาท ที่ผ่านมาเคยได้ร้องเรียนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาแล้วแต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ จึงมาพึ่งบารมีศาล ส่วนที่จำเลยอ้างว่าต้องทำตามลิขสิทธิ์นั้น แต่ตนเห็นว่าเป็นการรุกรานสิทธิของผู้บริโภค

จากนั้นนายแก้วสรร อติโพธิ อดีตเลขาธิการ คตส. เบิกความเป็นพยานปากที่ 2 ว่า หลังเกิดเหตุกรณีทีวีจอดำขึ้น มีนักวิชาการ สอบถามถึงปัญหาดังกล่าว ตนจึงเขียนบทความขึ้นรวม 3 ฉบับ ทางมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค จึงติดต่อมาขอคำปรึกษาในแง่มุมกฎหมาย เห็นว่า ตามรัฐธรรมนูญปี 2550 มาตรา 47 วรรคแรกที่ระบุว่าคลื่นวิทยุ โทรทัศน์ เป็นทรัพยากรของชาติ ให้ใช้ประโยชน์สาธารณะ โดยมี กสทช. ตั้งขึ้นมาเพื่อกำกับดูแล ทำหน้าที่กำหนดเป้าหมาย การจัดการ ว่าคลื่นที่ได้รับการอนุญาตต้องเผยแพร่ความรู้ วัฒนธรรม เป็นทีวีสาธารณะ สำหรับกรณีดังกล่าวเป็นรูปแบบของทีวีการค้า มีรูปแบบการเข้าถึงเปลี่ยนแปลงไป เมื่อฟรีทีวีเอาสัญญาณยิงขึ้นดาวเทียม ประชาชนจึงหันไปซื้อจานดาวเทียม เนื่องจากภาพและเสียงมีความคมชัดกว่าเสาอากาศโทรทัศร์ชนิดก้างปลา กลุ่มนี้ถือว่าเป็นกลุ่มจอดำ ส่วนอีกประเภทหนึ่งเป็นสมาชิกกับทีวีการค้า เช่น ทรู วิชชั่น บอกรับสมาชิกให้บริการเป็นแพ็กเกจ จากสัญญาที่ บ.จีเอ็มเอ็ม มีถึง อสมท ว่าการถ่ายทอดฟุตบอล ยูโร นั้น ให้ตัดสัญญาณที่ผ่านเครือข่ายของ ทรู วิชชั่น ที่มีผู้รับชมประมาณ 1 ล้านกว่าครัวเรือน และจานดาวเทียมที่มีผู้รับชมกว่า 8 ล้านครัวเรือน เมื่อทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 , 5 , 9 จะถ่ายทอดสดต้องเข้ารหัสดูการแข่งขัน ทำให้ประชาชนที่ใช้จานดาวเทียม และ ทรูฯ ไม่สามารถเข้าถึงการรับชมได้ ราว 11 ล้านครัวเรือน

นายแก้วสรร เบิกความว่า เห็นว่ากรณีดังกล่าว หากตนมีหน้าที่ในการตัดสินใจแทน ช่อง 3 , 5 และ 9 จะไม่รับถ่ายทอดฟุตบอลจาก บ.จีเอ็มเอ็ม เพราะทั้งช่อง 3 , 5 และ 9 ได้รับสัมปทานจากรัฐไป ย่อมมีหน้าที่เผยแพร่ให้ปวงชนชาวไทยได้รับชม ถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดหน้าที่ จะเอาสัญญาเรื่องลิขสิทธิ์ มาลบล้างกฎหมายเรื่องสิทธิของปวงชนชาวไทยตามกฎหมายมหาชนไม่ได้ ต้องเปิดให้ผู้บริโภคเข้าถึง ทีวีสาธารณะเหล่านี้ได้รับการถ่ายทอดทางคลื่น จะมาจำกัดสิทธิคนไทยว่าต้องชมทางเสาอากาศเท่านั้นไม่ได้ ถือเป็นการลิดรอนสิทธิ ในต่างประเทศมีการออกกฎหมายกำหนดให้การถ่ายทอดเข้าถึงประชาชน ต้องอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชน สิ่งที่เกิดขึ้นไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ หาก บ.จีเอ็มเอ็ม จะหาสมาชิกในเวลารวดเร็วจริงๆ การกระทำเช่นนี้ทำไม่ถูก เมื่อคุณได้รับประโยชน์จากทั้งฟรีทีวี สปอนเซอร์จนคุ้ม และขายกล่องรับสัญญาณ เป็นการบีบเอาสมาชิก ทำให้ประชาชนที่ดูโทรทัศน์โดยปกติมาตลอดกลับมาถูกปฏิบัติเช่นนี้ ประเทศที่เจริญแล้วเขาไม่ทำกัน

นายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา คณะกรรมการ กสทช. เบิกความว่า ถึงกรณีแกรมมี่เป็นห่วงการส่งสัญญาณดาวเทียมจะไม่สามารถจำกัดพื้นที่ และเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์นั้น ข้อเท็จจริงการส่งสัญญาณดาวเทียมสามารถจำกัดพื้นที่ได้ด้วยการเข้ารหัส เมื่อปลายทางไม่ทราบรหัสก็ไม่สามารถเข้าชมได้ ดังนั้นกรณีที่จะจำกัดพื้นที่ให้ครอบคลุมอยู่ในประเทศไทยสามารถทำได้ด้วยการเข้ารหัส แม้ในต่างประเทศจะมีการสุ่มเข้ารหัสเองก็มีความน่าจะเป็นไปได้น้อย อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้มีผู้มาร้องเรียนศาลปกครองให้ กสทช. คุ้มครองกรณีจอดำด้วย แต่ทางศาลปกครองได้ยกคำร้องการไต่สวนฉุกเฉิน

ด้านน.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ คณะกรรมการ กสทช. เบิกความว่า กฎหมายให้ กสทช. กำกับดูแปลคลื่นความถี่ รวมไปถึงบังคับผู้ประกอบกิจการดาวเทียมด้วย แต่ขณะนี้ยังไม่มีกฎเกณฑ์ในการบังคับใช้ผู้ประกอบการกิจการดาวเทียม โดยหลักเกณฑ์ดังกล่าวอยู่ระหว่างการร่างยังไม่แล้วเสร็จ ทั้งนี้ยอมรับว่าไม่เคยให้ช่อง 3,5 และ 9 แก้ไขปัญหาจอดำ แต่เคยมีมติให้ทางช่อง 3,5 และ 9 อย่าเลือกปฏิบัติ

ทั้งนี้ศาลนัดไต่สวนพยานจำเลยในวันที่ 27 มิ.ย.นี้ 09.00 น. ส่วนที่ทนายจำเลยยื่นคำร้องคัดค้านนั้น ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ในมาตรา 10 ประกอบมาตรา 15 ของ พ.ร.บ.ว่าด้วยคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล บัญญัติให้ในกรณีที่คู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาล ให้ศาลรอการพิจารณาไว้ชั่วคราวและให้ทำความเห็นส่งไปให้ศาลที่เป็นคู่ความร้องว่าคดีนั้นอยู่ในเขตอำนาจศาลโดยเร็ว ซึ่งรวมถึงวิธีการคุ้มครองชั่วคราวมาใช้บังคับโดยอนุโลม แต่เนื่องจากวันนี้ศาลนัดไต่สวนฉุกเฉิน เพื่อกำหนดวิธีการคุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษา ซึ่งมีเจตรมย์ในการคุ้มครองคู่ความแตกต่างจากการคุ้มครองชั่วคราวในกรณีปกติ ซึ่งต้องกระทำเป็นการด่วน มิเช่นนั้นอาจเกิดความเสียหายก่อนจะมีการวินิจฉัยชี้ขาด นอกจากนี้คดีนี้โจทก์ทั้ง 5 ฟ้องจำเลยทั้ง 4 เป็นคดีผู้บริโภค ซึ่ง พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคมีเจตรมย์ในการคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภค เมื่อมาตรา 15 วินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล บัญญัติให้นำมาตรา 10 มาใช้บังคับโดยอนุโลม ศาลสามารถใช้ดุลพินิจในการนำมาตรา 10 มาใช้แก่การพิจารณาได้ โดยไม่เป็นอุปสรรคแก่การอำนวยความยุติธรรมแก่คู่ความ ศาลจึงเห็นว่าคำว่า รอการพิจารณาดังกล่าวไม่รวมถึงการคุ้มครองสิทธิ์ของคุ้มความและผู้บริโภคในกรณีฉุกเฉินด้วย หากปรากฏว่ามีเหตุที่ศาลควรจะใช้วิธีการคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาในเหตุฉุกเฉินจริง แต่ศาลปฏิเสธการคุ้มครองสิทธิ์ดังกล่าว โดยอ้างเหตุตามบทบัญญัติข้างต้น ย่อมเป็นการไม่ชอบ เมื่อยังไม่แน่ชัดว่ามีเหตุแห่งความเสียหายเกิดขึ้นจริงหรือไม่ และมีความจำเป็นที่ต้องกำหนดวิธีการคุ้มครองชั่วคราวให้แก่คู่ความ และผู้บริโภคอื่นหรือไม่ ในชั้นนี้จึงให้ไต่สวนฉุกเฉินก่อนมีคำสั่ง ส่วนคำร้องโต้แย้งว่า คดีนี้ไม่ใช่คดีผู้บริโภค แห่งว่า มาตรา 8 แห่ง พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค ไม่ได้บัญญัติให้ศาลรอการพิจารณาไว้ก่อน

ศาลจึงมีอำนาจไต่สวนเพื่อประกอบการมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ในระหว่างรอคำวินิจฉัยของประธานศาลอุทธรณ์ สำหรับคำร้องโต้แย้งว่าคดีนี้ในส่วนของจำเลยที่ 4 เป็นคดีเกี่ยวกับลิขสิทธิ์ อยู่ในเขตอำนาจพิจารณาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯนั้นเห็นว่า ในชั้นนี้เป็นการไต่สวนคำขอในเหตุฉุกเฉินซึ่งเป็นการคุ้มครองประโยชน์ของคู่ความ แม้ประธานศาลฎีกาจะมีคำวินิจฉัยเป็นที่สุดว่า คดีอยู่ในอำนาจศาลนี้ หรือศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ คำสั่งใดๆ ของศาลในชั้นนี้ก็ไม่กระทบต่อกระบวนการพิจารณาคดีซึ่งจะมีต่อไปในภายภาคหน้า ทั้งศาลแพ่งและศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ ต่างก็เป็นศาลในระบบยุติธรรมด้วยกัน ย่อมมีอำนาจดำเนินกระบวนการพิจารณาของคู่ความในกรณีฉุกเฉินได้ ให้ส่งคำร้องของจำเลยที่ 4 ไปยังประธานศาลฎีกา และประธานอุทธรณ์เพื่อวินิจฉัยต่อไป ในส่วนที่โต้แย้งเกี่ยวกับอำนาจศาลปกครองให้โจทก์ทั้ง 5 ทำคำชี้แจ้งยื่นต่อศาลภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันนี้ หากไม่ยื่นในกำหนดถือว่าไม่ติดใจ
กำลังโหลดความคิดเห็น