ละอ่อนมินิวัย 18 สุดเครียดเดินทางพบพนักงานสอบมอบตัวคดีซิ่งมินิชนพลเมืองดีบาดเจ็บสาหัส บนสะพานพระราม 9 ท่ามกลางบรรดาญาติผู้บาดเจ็บที่มาเรียกร้องให้ผู้ก่อเหตุรับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เจ้าตัวรับคันรถพุ่งชนพลเมืองทั้ง 4 คนแล้วหลบหนี อ้างที่ยังไม่มอบตัวเพราะยังอยู่ในอาการตกใจ ตร.แจ้ง 3 ข้อหา คุมตัวส่งสถานพินิจเด็กทันที
จากกรณีผู้ใช้เฟสบุ๊ก ชื่อ Wong Cartoon ได้โพสต์ข้อความพร้อมภาพของ น.ส.โชติกา ประสาทโสภณ อายุ 22 ปี น.ศ.ชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ที่ประสบอุบัติเหตุถูกรถยนต์มินิคูเปอร์ หมายเลขทะเบียนป้ายแดง 4721 พุ่งชน ขณะที่ตนเองพร้อมเพื่อนอีก 3 คนลงไปช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ จากอุบัติเหตุรถชนกันบนสะพานพระราม 9 เมื่อคืนวันเสาร์ที่ 19 พ.ค. ที่ผ่านมา แล้วหลบหนีไป จนกลายเป็นประเด็นดังในสังคมออนไลน์ โดยตำรวจได้พยายามหาเบาะแสผู้ขับขี่รถยนต์คันดังกล่าวจากกล้องวงจรปิด ที่ติดตั้งในบริเวณเส้นทางที่คาดว่า รถยนต์มินิคูเปอร์จะแล่นผ่าน จนกระทั่งทราบชื่อผู้ครอบครองรถคันดังกล่าวและออกหมายเรียกเข้าพบเพื่อให้ปากคำ จนภายหลัง นางหงษ์ แซ่ลี่ อายุ 81 ปี เจ้าของรถคันดังกล่าวพร้อมทนายความได้เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน พร้อมแจ้งว่าคนขับรถในวันเกิดเหตุคือ นายเก่ง (นามสมมติ) อายุ 18 ปี หลานชายของตน ซึ่งยังอยู่ในอาการเครียดและจะเข้ามอบตัวภายหลัง ตามที่ได้เสนอข่าวไปนั้น
วันนี้(5มิ.ย.)เวลา 09.00 น.ที่ สน.ทางด่วน 1 นางหงษ์ แซ่ลี่ อายุ 81 ปี เจ้าของรถมินิคูเปอร์สีแดง ได้พานายเก่ง (นามสมมติ) อายุ 18 ปี หลานชายและเป็นคนขับรถมินิในวันเกิดเหตุ พร้อมนายเกิดผล แก้วเกิด ทนายความ ได้เดินทางเข้ามอบตัวกับ พ.ต.ท.กันตภณ สินธวาชีวะ พนักงานสอบสวน (สบ 3) สน.ทางด่วน 1 เจ้าของคดี โดยมี พ.ต.ท.ณัฐพล โกมินทรชาติ รองผกก.งานศูนย์ควบคุมการจราจรด่วน 1 ร่วมทำการสอบปากคำ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนที่นายเก่ง จะเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนนั้น เมื่อเจ้าตัวกับนางหงษ์ เดินทางมาถึงสน.ทางด่วน 1 นั้น นายไรวินทร์ ประสาทโสภณ อายุ 24 ปี ลูกพี่ลูกน้องของ น.ส.โชติกา ได้เข้าไปคว้าคอนายเก่งจากทางด้านหลัง พร้อมพูดว่า "มึงแสบมากนักใช่มั้ยที่ทำน้องกู" ทำให้นายเก่ง หันมาชกเข้าที่กรามด้านซ้ายของนายไรวินทร์ไป 1 ครั้ง จากนั้นได้มีญาติของน.ส.โชติกา พยายามจะเข้าไปคว้าตัวนายเก่ง แต่ก็ถูกนายเก่งผลักล้มลง จนเกิดเหตุชุลมุน จนนางหงษ์ทรุดลงไปกับพื้นจนเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ทางด่วน 1 ต้องเข้ามาห้ามทัพก่อนเหตุการณ์จะบานปลายไปมากกว่านั้น จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้รีบนำตัวนายเก่ง เข้าห้องสอบสวนสตรี เด็กและเยาวชนของโรงพักไปทำการสอบปากคำทันที
หลังทำการสอบปากคำนานประมาณ 2 ชั่วโมง เจ้าหน้าที่ได้เชิญญาติของผู้บาดเจ็บทั้ง 4 คน เข้าไปในห้องสอบสวนเพื่อให้นายเก่ง นำพวงมาลัยมาก้มกราบเท้าขอขมา ทีละคน จากนั้นนายเก่ง พร้อมทีมทนายความ ได้ออกมายกมือไหว้ขอโทษต่อหน้าสื่อมวลชน พร้อมกล่าวว่า ตนรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และอยากขอโทษผู้บาดเจ็บทั้งหมดด้วย ตนขอยืนยันว่าไม่ได้ตั้งใจและไม่มีเจตนาที่จะก่อเหตุแต่อย่างใด แต่เป็นอุบัติเหตุที่ตนไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น และวันเกิเดเหตุตนก็ไม่ได้มึนเมาสุราแต่อย่างใด ซึ่งหลังจากนี้ก็ขอปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม
ผู้สื่อข่าวถามว่า ทำไมหลังเกิดเหตุถึงหลบหนีและไม่เข้ามอบตัวทันที แต่หนึ่งในทีมทนายความ ตอบคำถามแทนว่า ช่วงที่นายเก่งยังไม่พร้อมที่จะเข้ามอบตัวก็เป็นเพราะต้องฟื้นฟูจิตใจเยอะ เนื่องจากเจ้าตัวอยู่ในภาวะเครียด กดดัน และคิดสั้น อยากจะเข้ามาแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยตนเอง จึงอยากฝากเตือนไปยังเยาวชนว่า หากเกิดเหตุการณ์แบบนี้อย่าพยายามแก้ไขปัญหาด้วยตัวเองโดยไม่แจ้งให้ผู้ใหญ่ทราบ
ด้าน พ.ต.ท.กันตภณ สินธวาชีวะ พนักงานสอบสวน (สบ 3) สน.ทางด่วน 1 เจ้าของคดี กล่าวว่า จากการสอบปากคำผู้ต้องหาใก้การรับสารภาพว่าเป็นคนขับรถมินิคูเปอร์สีแดงในวันเกิดเหตุจริง เพราะมองไม่เห็นว่ามีรถเกิดอุบัติเหตุอยู่ข้างหน้า จึงทำให้ชนกลุ่มผู้เสียหายจนได้รับบาดเจ็บดังกล่าว ซึ่งหลังเกิดเหตุเจ้าตัวได้ขับรถหลบหนีไปเพราะความตกใจ ก่อนนำนำรถไปจอดคลุมผ้าเอาไว้ จนเกิดอาการเครียดร้องไห้ทุกวัน เนื่องจากโดนโจมตีทางสังคมออนไลน์อย่างหนัก จนนางหงษ์ผู้เป็นย่า เกิดความสงสัยที่หลานชายเครียดจึงเข้ามาสอบถามจนเจ้าตัวยอมบอกความจริง นางหงษ์ จึงแจ้งทนายความให้พาตัวเข้ามามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
พ.ต.ท.กันตภณ กล่าวต่อว่า เบื้องต้นได้แจ้งข้อหาขับขี่รถโดยประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินผู้อื่นเสียหายและได้รับบาดเจ็บสาหัส ,ขับขี่รถโดยไม่มีใบอนุญาต และหลบหนีไม่อยู่ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บและไม่แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ใกล้จุดเกิดเหตุ ก่อนนำตัวส่งสถานพินิจต่อไป ซึ่งหลังจากนี้ก็เป็นดุลยพินิจของทางสถานพินิจว่า จะให้ประกันตัวหรือไม่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวนายเก่งออกทางประตูด้านหลังห้องสอบสวน แล้วให้ปีนบันไดข้ามกำแพงออกไปทางหลังโรงพัก เพื่อนำตัวส่งสถานพินิจทันที สร้างความไม่พอใจให้กับบรรดาญาติ และเพื่อนผู้บาดเจ็บที่อยากจะเจอตัวนายเก่งอีกครั้ง ก่อนที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเชิญญาติได้รับบาดเจ็บกับ ทนายความ และผู้แทนจากบริษัทธนชาตประกันภัย เข้าไปเจรจากันเรื่องค่ารักษาพยาบาลและค่าเสียหายต่อหน้าพนักงานสอบสวน
ต่อมาเวลา 12.30 น.หลังจากที่คู่กรณีทั้ง 2 ฝ่ายปิดห้องไกล่เกลี่ยกันต่อหน้าพนักงานสอบสวนนานประมาณ 1 ชั่วโมง ปรากฏว่าความตึงเครียดเริ่มลดน้อยลงโดยทั้ง 2 ฝ่ายพากันเดินออกจากห้องด้วยสีหน้าสดใสกว่าเดิม จากการสอบถาม นายวรวรรณ ศิวะศรียานนท์ อายุ 42 ปี ญาติฝ่ายผู้เสียหาย ซึ่งรับหน้าที่เจรจากับฝ่ายผู้ต้องหา กล่าวว่า จากการพูดคุยกันวันนี้ได้ข้อสรุปเรื่องค่ารักษาพยาบาล โดยธนชาตประกันภัยซึ่งรถมินิคูเปอร์คู่กรณีทำ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จะทำการจ่ายค่ารักษาพยาบาลเบื้องต้นให้คนเจ็บทุกรายก่อนในวงเงินรายละ 50,000 บาท หากมีคนเจ็บรายไหนต้องใช้ค่ารักษาพยาบาลมากกว่านั้น ทางบริษัทวิริยะประกันภัย ซึ่งรถมินิคูเปอร์ซื้อประกันภัยประเภท 1 เอาไว้ จะเป็นผู้รับผิดชอบในส่วนต่างที่เหลือ สำหรับ นางหงษ์ แซ่ลี่ อายุ 81 ปี อาม่าของผู้ต้องหาก็ได้นำเงินช่วยเหลือเบื้องต้นจำนวนหนึ่งมามอบให้ญาติของผู้บาดเจ็บทุกรายที่โรงพักในวันนี้ด้วย สรุปคือผลการเจรจาวันนี้ค่อนข้างมีผลลัพธ์ที่น่าพอใจแก่ทุกฝ่าย
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีการนัดพบเพื่อเจรจากันอีกหรือไม่ นายวรวรรณ ตอบว่า วันนี้ทุกฝ่ายพอใจเรื่องการตกลงเกี่ยวกับประเด็นค่ารักษาพยาบาล หากหลังจากนี้มีคนเจ็บรายใดที่ติดขัดไม่สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้ก็อาจจะต้องมีการนัดพบเพื่อเจรจากันใหม่ ในส่วนของค่าทำขวัญยังไม่ได้พูดคุยกันแต่เชื่อว่าหลังจากนี้ทางคู่กรณีก็จะต้องรับผิดชอบตามกฎหมาย สำหรับความคืบหน้าด้านอาการของผู้ได้รับบาดเจ็บที่ยังน่าเป็นห่วงมี 2 ราย คือ น.ส.โชติกา ประสาทโสภณ อายุ 22 ปี แพทย์ต้องทำการเจาะคอเพื่อให้หายใจได้สะดวกขึ้น และ นายสุรเชษฐ์ ณัฏฐาชัย อายุ 27 ปี ที่จะต้องทำกายภาพบำบัด ตนอยากฝากเรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ให้ผู้ปกครองทุกคนเพื่อกำชับต่อบุตรหลานที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะหากคิดจะขับขี่ยานพาหนะขอให้ใช้ความระมัดระวังมากกว่านี้อย่าประมาท