ศาลอาญาพิพากษาจำคุก 1 ปี ปรับเงิน 3 หมื่นบาท ผู้ดูแลเว็บไซต์ประชาไท ปล่อยให้โพสต์ข้อความหมิ่นเบื้องสูง ลดโทษเหลือจำคุก 8 เดือน ปรับ 2 หมื่น แต่จำเลยไม่เคยกระทำผิดมาก่อน ให้โอกาสกลับตัวเป็นคนดีโทษจำคุกรอลงอาญาเป็นเวลา 1 ปี
วันนี้ (30 พ.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น.ที่ห้องพิจารณา 704 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีกระทำผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ คดีดำ อ.961/53 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 8 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.จีรนุช เปรมชัยพร ผู้ดูแลเว็บไซต์ประชาไท เป็นจำเลยฐาน กระทำผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ 2550
โดยคดีนี้พนักงานอัยการฟ้องเมื่อวันที่ 31 มี.ค. 2553 สรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 15 เม.ย. - 3 พ.ย. 2551 ต่อเนื่องกันวันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยซึ่งเป็นผู้ดูแล (Web master) เว็บไซต์ประชาไท ได้จงใจสนับสนุนหรือยินยอมให้มีการดำเนินการนำข้อความเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งอยู่ในความควบคุมของจำเลย อันเป็นข้อมูลมีเนื้อหาเป็นการดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ เกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร จำนวน 10 กระทู้เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งอยู่ในความควบคุมของจำเลย เหตุเกิดที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แขวงจอมพล เขตจตุจักร, แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร และทั่วราชอาณาจักรไทย เกี่ยวพันกัน จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ข้อความทั้ง 10 กระทู้เป็นการดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาทอันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร และมีการนำเข้าสู่เว็บบอร์ดของเว็บไซต์ประชาไท แต่โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานว่า จำเลยจะเป็นผู้นำข้อความกระทู้ทั้ง 10 เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ หรือจงใจ สนับสนุนให้มีการกระทำความผิดดังกล่าวในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของจำเลย จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิด ฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับเป็นความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14(3) และฟังไม่ได้ว่าจำเลยจงใจหรือสนับสนุนให้มีการกระทำความผิดดังกล่าว แต่บทบัญญัติดังกล่าวไม่ได้ระบุว่าผู้ดูแลเว็บไซต์ดำเนินการแก้ไขกรณีมีความข้อความที่ไม่เหมาะสมว่าควรมีระยะเวลานานเพียงใดกรณีนี้จะถือว่าผู้ดูแลเว็บไซต์ต้องรับผิดตามบทบัญญัติดังกล่าวทันที หลังมีการนำเข้าข้อความที่ไม่เหมาะสมเข้าสู่ระบบอินเตอร์เน็ตนั้นนับว่าไม่เป็นธรรมแก่ผู้ให้บริการฐานะตัวการ แต่จำเลยจะอ้างว่าไม่ทราบมีกระทู้ดังกล่าวเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์โดยมิได้คำนึงถึงภาระหน้าที่ในฐานะผู้ดูแลเว็บไซต์เพื่อให้หลุดพ้นในการรับผิดดังกล่าวและทำให้บทบัญญัติตามกฎหมายไม่มีสภาพบังคับนั้นย่อมไม่เป็นไปตามเจตนารมของกฎหมาย
ศาลเห็นว่า หากจำเลยมีความใส่ใจดูแล ตรวจสอบตามหน้าที่ควรใช้เวลาในการตรวจสอบเมื่อเห็นข้อความที่ไม่เหมาะสมควรลบข้อความดังกล่าวออกจากระบบคอมพิวเตอร์ในระยะเวลาอันสมควรเพราะหากปล่อยเวลาให้นานไปกว่านี้อาจมีการนำข้อความไปเผยแพร่ต่อก่อให้เกิดความเสียหาย ต่อผู้เกี่ยวข้อง เสียหายต่อความมั่นคงของประเทศชาติได้ เห็นได้ว่ากระทู้จำนวน 9 กระทู้ ยังอยู่ในกระดานสนทนาอยู่ จำเลยเป็นผู้ดูแลเป็นเวลา 11 วัน 1 วัน 3 วัน 2 วัน 2 วัน 1 วัน 3 วัน 2 วัน และ 1 วัน ตามลำดับ อยู่ในกรอบเวลาอันสมควร แต่ปรากฏหลักฐานว่ามี 1 กระทู้ ที่ถูกเผยแพร่ในเว็บไซต์เป็นเวลานานถึง 20 วัน เกิดกำหนดเวลาอันควรที่จำเลยควรจะตรวจสอบและนำข้อมูลดังกล่าวออกจากระบบคอมพิวเตอร์ ถือได้ว่าจำเลยให้ความยินยอมโดยปริยาย จำเลยจึงมีความผิดฐานเป็นผู้ยินยอมให้มีการกระทำความผิดตามมาตรา 14
ที่จำเลยนำสืบว่า หลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549 มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นที่เว็บไซต์ประชาไทมากขึ้น จึงมีการเปิดมาตรการในการควบคุม โดยมีการเพิ่มเจ้าหน้าที่ในการตรวจสอบข้อมูลที่นำเข้าสู่เว็บไซต์ หากพบมีข้อความลักษณะที่ไม่เหมาะสม ก็สามารถนำออกได้โดยไม่ต้องรับอนุญาตจากจำเลยนั้น เห็นว่าเป็นหน้าที่ขอจำเลยในฐานะผู้ให้บริการแต่ยังไม่เพียงพอภาระหน้าที่ของจำเลยในการควบคุมดูแล ที่ให้มีการกระทำความผิดในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในการควบคุมของจำเลยมีอยู่เช่นใดก็คงมีอยู่เช่นนั้นไม่เปลี่ยนแปลง
ส่วนจุดประสงค์ของเว็บไซต์ที่ต้องการนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง มุ่งเน้นในเรื่องสิทธิที่ถูกต้องในส่งเสริมประชาธิปไตยนั้น ศาลก็ยอมรับว่าสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของพลเมืองซึ่งให้การรับลองและคุ้มครองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับ เพราะเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นสะท้อนถึงธรรมาภิบาลและความเป็นประชาธิปไตยของประเทศ หรือองค์กรนั้นๆ การวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชนทั้งด้านบวกและด้านลบย่อมเป็นโอกาสในการนำไปปรับปรุงประเทศ องค์กรและตัวเองให้ดียิ่งขึ้น แต่เมื่อจำเลยเปิดช่องทางให้มีการแสดงความคิดเห็นในระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งอยู่ในความดูแลของจำเลย จำเลยย่อมมีหน้าที่ในการตรวจสอบข้อคิดเห็น หรือข้อมูลที่อาจกระทบกระเทือน ถึงความมั่นคงของประเทศ รวมทั้งสิทธิเสรีภาพของผู้อื่นที่ต้องเคารพเช่นกัน เมื่อจำเลยกระทำผิดตามที่วินิจฉัยมาข้างต้นจำเลยจึงมิอาจอ้างซึ่งสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นดังกล่าวเพื่อให้หลุดพ้นจากความผิดได้
จำเลยจึงมีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ 2550 มาตรา 15 ประกอบมาตรา 14 อนุ 3 ลงโทษจำคุกจำเลยเป็นเวลา 1 ปี ปรับ 30,000 บาท ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาบ้าง ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยไว้เป็นเวลา 8 เดือน ปรับ 2 หมื่นบาท และเนื่องจากจำเลยไม่เคยกระทำผิดมาก่อน เพื่อให้โอกาสจำเลยกลับตัวเป็นพลเมืองดีของชาติ โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี
ภายหลัง น.ส.จีรนุช เปรมชัยพร กล่าวว่า ยังคงไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษา และจะร่วมปรึกษากับทนายความว่าจะอุทธรณ์คดีหรือไม่
ด้าน นายธีรพันธุ์ พันธุ์คีรี ทนายความกล่าวว่า โดยรวมค่อนข้างพอใจกับคำพิพากษา แต่ยังมีบางประเด็นที่เห็นว่าจำเลยน่าจะมีความผิดแค่บกพร่องในการตรวจสอบ ดูแลข้อความในเว็บบอร์ด แต่ศาลกลับเห็นว่าจำเลยกระทำผิดตรงที่จงใจ และมีส่วนสนับสนุนให้ผู้อื่นโพสต์ข้อความหมิ่น ซึ่งจำเลยน่าจะมีความผิดเพียงประมาทเลินเล่อ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้มีกลุ่มนักเคลื่อนไหวภาคเอกชนหรือเอ็นจีโอทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมทั้งสื่อมวลชนทุกแขนงให้ความสนเดินทางมาฟังคำพิพากษาจนแน่นห้องพิจารณาคดี