ตำรวจเมืองตงกวน มณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน จับกุม 9 คนไทยที่ถูกหลอกไปทำงานให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลับมาดำเนินคดีในไทย ซึ่งมีมูลค่าความเสียหายถึง 150 ล้านบาท ในขณะที่ตำรวจไทยกำลังเตรียมสอบปากคำผู้ต้องหาทั้งหมด ว่าถูกหลอกไปจริงหรือสมัครใจ
วันนี้ (17 พ.ค.) เมื่อเวลา 14.00 น. ที่บก.ปอศ. พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ ผบก.ปอศ. พ.ต.อ.ชัยณรงค์ เจริญไชยเนาว์ รอง ผบก.ปอศ. พ.ต.อ.กิตติ สะเภาทอง รอง ผบก.ปอศ. พ.ต.อ.สถิตย์ พรมอุทัย ผกก.5 บก.ปอศ. พร้อมด้วย นาย หวู่ เจี้ยนหมิน (Wu Jianmin) ตำรวจประสานงานเอกอัครราชทูต สาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ร่วมแถลงผลการจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ประกอบด้วย น.ส.สุทธนี สุนทรฐิติ อายุ 26 ปี, น.ส.กำไลทอง ธัญญอุดม อายุ 31 ปี, นายบัญญัติ สาคร อายุ 29 ปี, นายธณงค์ รอดแสวง อายุ 32 ปี, นายสมปอง พิมพาแสง อายุ 30 ปี, น.ส.ฟ้าม่น ชมผลมา อายุ 35 ปี, นายยุทธศักดิ์ โคววิกกัย อายุ 40 ปี, นายสัมพันธ์ โพธิจินดา อายุ 32 ปี นายเจริญ แซ่จาง อายุ 35 ปี โดยใช้ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นฐานปฏิบัติการหลอกลวงคนไทย ในประเทศไทย โดยสามารถจับกุมได้ที่ บ้านเลขที่ 37 หมู่บ้านเหยินซิน ต.โห้วเจ จ.ตงก่วน
พล.ต.ต.โกวิทย์เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้เสียหายว่าถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกให้โอนเงิน โดยมูลค่าความเสียหายร้อยล้านบาทในแต่ละปี ต่อมาเจ้าหน้าที่ทำการสืบสวนพบว่ามีแก็งดังกล่าว มีฐานปฏิบัติงานอยู่ในมณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน จึงได้นำคณะเจ้าหน้าที่เดินทางไปประสานการปฏิบัติงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนกลางประจำมณฑลกวางตุ้ง จนสืบทราบว่าฐานปฏิบัติการดังกล่าวอยู่ในจังหวัดตงก่วน มณฑลกวางตุ้ง
พล.ต.ต.โกวิทย์กล่าวว่า เมื่อวันที่ 9 พ.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนกลางมณฑลกวางตุ้ง, เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนกลางปักกิ่ง และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.โห้วเจ จังหวัดตงก่วน วางแผนจับกุมได้ที่บ้านหลังดังกล่าว พร้อมคนไทยและคนไต้หวัน รวมทั้งแม่บ้าน ทั้งหมด 13 คน
พล.ต.ต.โกวิทย์กล่าวว่า หลังจากจับกุมในครั้งนี้ได้นำคนไทยทั้งหมดจำนวน 9 รายดำเนินคดีตามกฎหมายของประเทศจีนแล้ว พร้อมประสานงานให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยรับมาเพื่อดำเนินคดีตามขั้นตอนกฎหมายในประเทศไทยต่อไป
เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหา ป.อาญา มาตรา 269/5 ใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน และ ป.อาญา มาตรา 343 ฉ้อโกงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชน หรือปกปิดความจริง ซึ่งควรบอกให้แก่ประชาชน พร้อมนำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
วันนี้ (17 พ.ค.) เมื่อเวลา 14.00 น. ที่บก.ปอศ. พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ ผบก.ปอศ. พ.ต.อ.ชัยณรงค์ เจริญไชยเนาว์ รอง ผบก.ปอศ. พ.ต.อ.กิตติ สะเภาทอง รอง ผบก.ปอศ. พ.ต.อ.สถิตย์ พรมอุทัย ผกก.5 บก.ปอศ. พร้อมด้วย นาย หวู่ เจี้ยนหมิน (Wu Jianmin) ตำรวจประสานงานเอกอัครราชทูต สาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ร่วมแถลงผลการจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ประกอบด้วย น.ส.สุทธนี สุนทรฐิติ อายุ 26 ปี, น.ส.กำไลทอง ธัญญอุดม อายุ 31 ปี, นายบัญญัติ สาคร อายุ 29 ปี, นายธณงค์ รอดแสวง อายุ 32 ปี, นายสมปอง พิมพาแสง อายุ 30 ปี, น.ส.ฟ้าม่น ชมผลมา อายุ 35 ปี, นายยุทธศักดิ์ โคววิกกัย อายุ 40 ปี, นายสัมพันธ์ โพธิจินดา อายุ 32 ปี นายเจริญ แซ่จาง อายุ 35 ปี โดยใช้ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นฐานปฏิบัติการหลอกลวงคนไทย ในประเทศไทย โดยสามารถจับกุมได้ที่ บ้านเลขที่ 37 หมู่บ้านเหยินซิน ต.โห้วเจ จ.ตงก่วน
พล.ต.ต.โกวิทย์เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้เสียหายว่าถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกให้โอนเงิน โดยมูลค่าความเสียหายร้อยล้านบาทในแต่ละปี ต่อมาเจ้าหน้าที่ทำการสืบสวนพบว่ามีแก็งดังกล่าว มีฐานปฏิบัติงานอยู่ในมณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน จึงได้นำคณะเจ้าหน้าที่เดินทางไปประสานการปฏิบัติงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนกลางประจำมณฑลกวางตุ้ง จนสืบทราบว่าฐานปฏิบัติการดังกล่าวอยู่ในจังหวัดตงก่วน มณฑลกวางตุ้ง
พล.ต.ต.โกวิทย์กล่าวว่า เมื่อวันที่ 9 พ.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนกลางมณฑลกวางตุ้ง, เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนกลางปักกิ่ง และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.โห้วเจ จังหวัดตงก่วน วางแผนจับกุมได้ที่บ้านหลังดังกล่าว พร้อมคนไทยและคนไต้หวัน รวมทั้งแม่บ้าน ทั้งหมด 13 คน
พล.ต.ต.โกวิทย์กล่าวว่า หลังจากจับกุมในครั้งนี้ได้นำคนไทยทั้งหมดจำนวน 9 รายดำเนินคดีตามกฎหมายของประเทศจีนแล้ว พร้อมประสานงานให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยรับมาเพื่อดำเนินคดีตามขั้นตอนกฎหมายในประเทศไทยต่อไป
เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหา ป.อาญา มาตรา 269/5 ใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน และ ป.อาญา มาตรา 343 ฉ้อโกงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชน หรือปกปิดความจริง ซึ่งควรบอกให้แก่ประชาชน พร้อมนำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
