xs
xsm
sm
md
lg

ศาลฎีกา! ตัดสิทธิ์ 5 ปี “เฮียตือ” จงใจปกปิดทรัพย์สิน

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล
ศาลฎีกาคดีทางการเมือง สั่ง “สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล” เว้นวรรคทางการเมือง 5 ปี ชี้ จงใจปกปิดทรัพย์สินและหนี้สิน 20 ล้าน พร้อมจำคุก 6 ปี ปรับ 1 หมื่น โดยโทษจำคุกให้รอลงอาญา 3 ปี ด้าน ป.ป.ช.หอบสำนวนฟ้อง “ศุภชัย โพธิ์สุ” ผิดมาตรา 157 และฐานกระทำการฝ่าฝืน พ.ร.บ.การเลือกตั้ง ส.ส.นัดฟังคำสั่ง 1 มิ.ย.นี้

วันนี้ (4 พ.ค.) เมื่อเวลา 14.00 น.ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง นายมานัส เหลืองประเสริฐ ประธานแผนกคดีพาณิชย์ในศาลฎีกา เจ้าของสำนวนคดีหมายเลขดำที่ อม.4/2554 พร้อมองค์คณะผู้พิพากษารวม 9 คน ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ผู้ร้อง ยื่นคำร้องกล่าวหา นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล กรรมการที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา อดีต รมว.เกษตรและสหกรณ์ ผู้คัดค้าน จงใจปกปิดบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ

โดยในวันนี้ นายสมศักดิ์ เดินทางมาพร้อมทีมทนายความ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้ยังไม่ขาดอายุความ ผู้ร้องมีอำนาจฟ้อง ขณะที่ข้อเท็จจริงปรากฏตามทางไต่สวน และการตรวจเส้นทางทางการเงิน พบว่า บัญชีเงินฝากธนาคารที่ผู้คัดค้าน ระบุว่า เป็นเงินที่ได้จากการทำธุรกิจ ประกอบขายข้าวของโรงสีข้าว หจก.วิเศษชัยชาญ เจริญกิจของครอบครัว นางระวิวรรณ ภรรยาผู้คัดค้าน โดยภรรยาไม่มีอำนาจเบิกถอนเงิน เพียงแต่พี่ชาย 2 คน ซึ่งเป็นผู้บริหารโรงสีมอบหมายให้ภรรยาเป็นผู้เปิดบัญชีเท่านั้น แต่จากเส้นทางการเมือง พบว่า นางระวิวรรณ ภรรยาผู้คัดค้าน ได้เบิกเงินไปซื้อหุ้นของธนาคารกสิกรไทย กว่า 14 ล้านบาท ส่วนที่อ้างว่าเงินบางบัญชีได้จากการชำระหนี้นอกระบบ ก็ใม่ปรากฏหลักฐาน และไม่มีพยานบุคคลมาเบิกความยืนยัน จึงไม่อาจรับฟังได้ ส่วนที่ผู้คัดค้านอ้างว่า เมื่อปี 2539 ได้รับเงิน 20 ล้านบาท มาจากการสนับสนุนของพรรคชาติไทย เพื่อนำไปใช้จ่ายในการเลือกตั้ง โดยได้นำเข้าบัญชีเงินฝากของโรงสี เพื่อช่วยในการประกอบธุรกิจนั้น กลับปรากฏว่า การเปิดบัญชีเป็นประเภทฝากประจำ 3 เดือน ซึ่งผิดวิสัยของการเปิดบัญชีในการทำธุรกิจที่ใช้ประเภทสะสมทรัพย์ หรือเผื่อ เรียก เพื่อเบิกถอนนำไปใช้ได้ทันที แต่ปรากฏว่า เมื่อครบกำหนดระยะเวลาฝาก 3 เดือน ก็ได้มีการถอนเงินรวมทั้งดอกเบี้ยไปใช้ และก่อนที่จะมีการยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินเพียง 9 วัน ได้มีการถอนชื่อนางระวิวรรณที่มีชื่อรวมในบัญชีเดียวกับพี่ชาย

ส่วนบ้านพักเลขที่ 5/5 ต.ไผ่จำศีล อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง พร้อมที่ดินมูลค่า 15 ล้าน ที่พี่ชายของ นางระวิวรรณ เบิกความอ้างว่าใช้เงินของโรงสี ซื้อและสร้างบ้าน เมื่อตรวจสอบการเบิกถอนเงินในบัญชีไม่พบว่าเงินที่ใช้จ่ายในการสร้างบ้านไม่ใช่เงินจากการขายข้าวของโรงสี แต่เป็นเงินของผู้คัดค้านและนางระวิวรรณนำไปใส่ในบัญชีที่หมุนเวียนในโรงสี ตามที่ได้วินิจฉัยมา อีกทั้งในการยื่นคำร้องปลูกสร้างบ้านครั้งแรก ผู้คัดค้านใช้ให้พี่ชายของภรรยาไปยื่นขอจากเทศบาลเพื่อก่อสร้างโดยใช้ชื่อผู้คัดค้านเป็นผู้ขอ ต่อมาเมื่อสื่อมวลชนได้นำเสนอข่าวจึงได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็นพี่ชายของภรรยาเป็นผู้ขอ และเมื่อมีการก่อสร้างเสร็จ ปรากฏว่าผู้คัดค้านและภรรยาได้ใช้ประโยชน์ของตัวเอง ขณะที่พี่น้องคนอื่นของภรรยาได้แยกย้ายไปอยู่ที่อื่น

องค์คณะจึงมีมติเอกฉันท์ เห็นว่า ผู้คัดค้านจงใจปกปิดข้อเท็จจริงต่อการยื่นบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สิน อันเป็นเท็จต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พิพากษาห้าม นายสมศักดิ์ ผู้คัดค้านดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ 2 ธ.ค.51 ซึ่งเป็นวันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยยุบพรรคชาติไทย มีผลให้ผู้คัดค้านซึ่งเป็นกรรมการบริหารพรรคและ ส.ส.พ้นจากการดำรงตำแหน่งทางการเมือง และให้จำคุก 6 เดือน ปรับ 1 หมื่นบาทตาม พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช.พ.ศ.2542 มาตรา 119 แต่ไม่ปรากฏว่า ผู้คัดค้านเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน จึงให้รอลงอาญาไว้ 3 ปี นับตั้งแต่วันฟังคำพิพากษา

ภายหลัง นายสมศักดิ์ ให้สัมภาษณ์ว่า น้อมรับคำพิพากษาเป็นนักการเมืองก็ต้องยอมรับกติกา ส่วนที่ศาลฎีกาฯ มีคำพิพากษาให้เว้นวรรคทางการเมือง 5 ปี จะพ้นกำหนดในวันที่ 2 ธ.ค.56 นั้น ตนจะกลับมาทำงานทางการเมืองต่อ โดยจากนี้จะกลับไปทำการชี้แจงกับประชาชน เนื่องจากในชั้น ป.ป.ช.ได้ชี้แจงน้อยไป เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่เป็นการทุจริตคอรัปชั่น แต่เป็นการเข้าใจคลาดเคลื่อนในการยื่นรายการแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินฯ ซึ่ง นายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตหัวหน้าพรรคชาติไทยก็เข้าใจเรื่องนี้

นายสมศักดิ์ ยังยืนยันว่า เงิน 20 ล้านที่ได้รับการสนับสนุนจากพรรคชาติไทย เพื่อใช้จ่ายในการเลือกตั้ง ในอดีตมีการใช้เงิน 30-40 ล้านบาท เพื่อทุ่มซื้อตัวผู้สมัครให้ได้เก้าอี้ ส.ส.1 ที่นั่ง โดยเหตุการณ์ลักษณะนี้ที่เกิดขึ้นก่อนรัฐธรรมนูญปี 40 ที่กฎหมาย กกต.จะบังคับใช้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงบ่ายในวันเดียวกันนี้ ป.ป.ช.ได้นำสำนวนสอบสวนและความเห็นชี้มูลความผิด นายศุภชัย โพธิ์สุ อดีต รมช.เกษตรและสหกรณ์ กระทำผิดทางอาญาฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และฐานกระทำการฝ่าฝืน พ.ร.บ.การเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว.พ.ศ.2550 ฐานเป็นเจ้าหน้าที่รัฐใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย กระทำการใดๆ เพื่อเป็นคุณหรือโทษแก่ผู้สมัคร และมาตรา 137 กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเสียงให้ตัวเอง หรือพรรคการเมืองใด ด้วยวิธีการการจัดทำเสนอให้ สัญญาว่าจะให้ หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้ทรัพย์สินหรือผลประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงิน ได้แก่ ผู้ใดมายื่นฟ้องต่อศาลฎีกแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กรณีกระทำการโน้มน้าวให้ประชาชนที่มาเข้าร่วมพิธีเปิด การฝึกอบรมของกรมพัฒนาที่ดิน ที่โรงแรมริมปาว จ.กาฬสินธุ์ ลงคะแนนเลือกผู้สมัครสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรของพรรคภูมิใจไทย ซึ่งศาลรับคำร้องไว้เป็นคดีหมายเลขดำ อม.1/2555 และนัดฟังคำสั่งว่าจะประทับรับคำฟ้องไว้พิจารณาหรือไม่ วันที่ 1 มิ.ย.55 โดยหลังจากนี้ ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาจะคัดเลือกผู้พิพากษาตั้งแต่ระดับผู้พิพากษาศาลฎีกาขึ้นไปจำนวน 9 คน มาเป็นองค์คณะต่อไป

เมื่อถึงเวลาศาลได้อ่านอธิบายคำฟ้องสรุปว่า ขณะที่ผู้คัดค้านดำรงตำแหน่ง ส.ส., รมช.ศึกษาธิการ, รมว.ศึกษาธิการ, รมว.เกษตรและสหกรณ์ รวม 8 ครั้ง ซึ่งมีหน้าที่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ตั้งแต่วันที่ 6 พ.ค.40 ก่อนเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 11 ต.ค.40 จนถึงปัจจุบันรวม 21 บัญชี โดยผู้ร้องตรวจสอบพบว่า มีเงินของผู้คัดค้านจำนวน 28 ล้านบาทกระจายตามบัญชีต่างๆดังกล่าว แต่ผู้คัดค้านไม่ได้ยื่นต่อ ป.ป.ช.ผู้ร้อง รวมทั้งยังมีที่มีชื่อผู้อื่นถือกรรมสิทธิ์ แต่จากหลักฐานทางการไต่สวนพบว่า บ้าน และที่ดินดังกล่าวเป็นของผู้คัดค้าน การกระทำของผู้คัดค้านจึงเป็นการจงใจปกปิดบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ม.263 และขอให้ศาลฎีกาฯลงโทษตาม พ.ร.บ.ว่าการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.2542 ม.119 และมีคำสั่งห้ามผู้คัดค้านดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี นับแต่วันที่ศาลฎีกาฯมีคำสั่ง
กำลังโหลดความคิดเห็น