จี้ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด “ดำรงค์ พิเดช” ทุจริตต่อหน้าที่!

บรรณาธิการอาวุโส นสพ.เอเอสทีวีผู้จัดการ นำเอกสารคำพิพากษาศาลอาญา เข้ายื่นเรื่องร้อง ป.ป.ช.ให้เร่งรัดชี้มูลความผิด “ดำรงค์ พิเดช” กับพวกทุจริตต่อหน้าที่ ภายหลังศาลตัดสินยกฟ้อง ชี้คำพิพากษาศาลเป็นประโยชน์ในการพิจารณาไต่สวนของ ป.ป.ช.

วันนี้ (3 พ.ค.) เวลา 10.30 น. ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายตุลย์ ศิริกุลพิพัฒน์ บรรณาธิการอาวุโสหนังสือพิมพ์เอเอสทีวีผู้จัดการรายวัน เดินทางมายื่นเอกสารคำพิพากษาศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ.4607/2552 คดีหมายเลขแดง อ.875/2555 ระหว่างนายดำรงค์ พิเดช โจทก์ กับจำเลย บริษัท เอเอสทีวีผู้จัดการ จำกัด ที่ 1, นายตุลย์ ศิริกุลพิพัฒน์ ที่ 2 ต่อ (ป.ป.ช.) เรื่องขอให้ ป.ป.ช. เร่งรัดชี้มูลความผิดนายดำรงค์ พิเดช อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ และอดีตรองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กับพวกทุจริตต่อหน้าที่ ได้โปรดเร่งรัดอย่างโดยเร็ว อย่าปล่อยให้คนผิดลอยนวล

นายตุลย์กล่าวว่า สืบเนื่องจากหนังสือพิมพ์เอเอสทีวีผู้จัดการรายวันได้เสนอข่าว “เปิดกลโกงขบวนการฮุบป่าเชียงราย ใช้เล่ห์สวมชื่อคนตายเป่าคดี” มีการนำเสนอข่าวหลายตอนต่อเนื่องกัน ต่อมาได้มีการแจ้งความต่อตำรวจเชียงรายให้สอบสวนดำเนินคดีต่อนายดำรงค์ พิเดช กับพวก ทุจริตต่อหน้าที่ ระหว่างที่ตำรวจสอบสวนดำเนินคดีทุจริตอยู่นั้น นายดำรงค์ พิเดช ก็ได้ฟ้องคดีอาญาและแพ่งที่เกี่ยวกับคดีอาญา ข้อหาหมิ่นประมาท เรียกค่าเสียหาย 50 ล้านบาท และระหว่างอยู่ในขั้นตอนพิจารณาของศาลอาญา ตำรวจก็ได้ส่งสำนวนการสอบสวนให้กับ ป.ป.ช.ดำเนินคดีต่อนายดำรงค์ พิเดชกับพวก ในข้อหาทุจริต

บัดนี้ ศาลมีคำพิพากษาออกมาแล้ว ยกฟ้องหนังสือพิมพ์เอเอสทีวีผู้จัดการ อีกทั้งคำพิพากษาระบุอีกว่า หนังสือพิมพ์เอเอสทีวีผู้จัดการได้เสนอข่าวตามข้อเท็จจริง วิพากษ์วิจารณ์ด้วยความเป็นธรรม นายดำรงค์ พิเดช กับพวกเกี่ยวข้องกับการทุจริตตามที่หนังสือพิมพ์เอเอสทีวีผู้จัดการนำเสนอ (ซึ่งมีรายละเอียดในคำพิพากษาของศาล)

เนื่องจากคดีทุจริตนี้ล่าช้ามานาน เพราะนายดำรงค์ พิเดช มักจะไปฟ้องศาลเพื่อลิดรอนเสรีภาพในการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน กล่าวหาว่าสื่อใส่ร้ายลงข่าวเท็จและประวิงเวลาขณะที่ ป.ป.ช.ไต่สวนดำเนินคดี แต่เมื่อพิสูจน์พยานหลักฐานโจทก์-จำเลยในชั้นศาลแล้ว พยานหลักฐานจำเลยสามารถหักล้างคำให้การของนายดำรงค์ พิเดชและพวกได้อย่างสิ้นเชิง ดังนั้น คำพิพากษาเรื่องนี้จึงเป็นประโยชน์ในการพิจารณาไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช.เป็นอย่างยิ่ง