xs
xsm
sm
md
lg

“บุญจง” รอดใบแดง-ตัดสิทธิการเมือง พยานเบิกความมีพิรุธ!

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


“ บุญจง” เฮ ขอบคุณศาลฎีกาเลือกตั้ง ยกคำร้อง กกต.แจกใบแดง เลือกตั้งซ่อมโคราชเขต6 หลังคู่แข่งร้องพาหัวคะแนน 300 คน นอนรีสอร์ต เที่ยวทะเลระยอง ระบุไม่ปรากฏมีส่วนรู้เห็นในการจัดสัมมนาที่ระยอง และคำเบิกความของพยานมีพิรุธหลายอย่าง ไม่อาจตัดสิทธิทางการเมืองได้ ขณะที่เจ้าตัวย้ำคดีจบแล้วไม่คิดฟ้องกลับ พยานที่ศาลระบุว่ามีพิรุธ


วันนี้ (20 มี.ค.) เมื่อเวลา 15.00 น. ที่ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง สนามหลวง องค์คณะผู้พิพากษามีคำสั่งยกคำร้อง ที่คณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) ยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาฯ มีคำสั่งเพิกถอนการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และตัดสิทธิทางการเลือกตั้ง เป็นเวลา 5 ปี นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ อดีต ส.ส.นครราชสีมา พรรคภูมิใจไทย และกรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทย ผู้คัดค้าน กรณีที่ กกต. ให้ใบแดง เนื่องจากกระทำผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว. พ.ศ. 2550 ม.53 (1) (3) และ (4) กรณี นายบุญจงถูกกล่าวหาว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจกรรมสัมมนาผู้นำชุมชนใน อ.จักราช จ.นครราชสีมา โดยให้นางสายพิรุณ น้อยศิริ เจ้าหน้าที่พัฒนาการ จ.นครราชสีมา นำผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวน 300 คน เดินทางไปอบรมที่รีสอร์ทแห่งหนึ่งใน จ.ระยอง พร้อมแจกสิ่งของในระหว่างการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 6 จ.นครราชสีมา ระหว่างวันที่ 19-20 พ.ย.53

ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งพิเคราะห์แล้วมีประเด็นต้องวินิจฉัยข้อแรกว่า กกต.ผู้ร้องมีอำนาจสืบสวนสอบสวนหรือไม่ เนื่องจากนายบุญจงผู้คัดค้านอ้างว่าเหตุการณ์ที่ถูกกล่าวหาเกิดขึ้นก่อน พ.ร.ฎ.เลือกตั้ง ส.ส.แทนตำแหน่งที่ว่าง เขต 6 จ.นครราชสีมา ที่จะมีผลบังคับใช้ เห็นว่า กรณีการเลือกตั้งดังกล่าวเกิดขึ้นเนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยให้นายบุญจง พ้นสภาพจากการเป็น ส.ส. ดังนั้นระยะเวลาที่ใช้บังคับในการหาเสียงเลือกตั้งจึงต้องนับตั้งแต่วันที่ 19 พ.ย.53 ซึ่งเป็นวันที่ กกต.มีประกาศ พ.ร.ฎ.เลือกตั้ง ลงในราชกิจจานุเบกษาให้ทราบเป็นการทั่วไป และ กกต.ยังมีอำนาจหน้าที่สืบสวนสอบสวนเพื่อหาข้อเท็จและวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาหรือข้อโต้แย้งที่เกิดขึ้น ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว.ฯ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2550 และระเบียบ กกต.ว่าด้วยการสืบสวนสอบสวนและการวินิจฉัยชี้ขาด พ.ศ. 2550 ที่ให้ กกต.พิจารณาดำเนินสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัยเองหรือสั่งการให้กรรมการสืบสวนสอบสวนตามที่เห็นสมควร ดังนั้นเมื่อมีการร้องเรียนว่านายบุญจง ผู้คัดค้านกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง กกต.ผู้ร้องจึงมีอำนาจสืบสวนสอบสวนได้ตามกฎหมาย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามีประกาศ พ.ร.ฎ.ให้มีการเลือกตั้งแล้วหรือไม่ หรือ พ.ร.ฎ.มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เมื่อใด ข้ออ้างของนายบุญจง ผู้คัดค้านจึงฟังไม่ขึ้น

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยต่อมาว่า การกระทำที่ กกต.ผู้ร้องอ้างว่าหากเป็นความผิดจะระงับไปเพราะมี พ.ร.ฎ.ให้ยุบสภาไปแล้วหรือไม่ เห็นว่าแม้ตามรัฐธรรมนูญ 2550 ม.106 บัญญัติว่าสมาชิกภาพ ส.ส.สิ้นสุดลงเมื่อ (1) มีการยุบสภาผู้แทนราษฎร และข้อเท็จจริงในคดีนี้ก็เป็นตามที่นายบุญจง ผู้คัดค้านอ้าง แต่การยุบสภามีผลเพียงทำให้สมาชิกภาพความเป็น ส.ส.ของนายบุญจง ผู้คัดค้านสิ้นสุดลงเท่านั้น แต่คดีนี้กกต.ผู้ร้องมีคำขอเพียงข้อเดียวให้ศาลฎีกามีคำสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 5 ปี จึงเป็นคนละส่วนกันไม่เกี่ยวข้องกับการสิ้นสมาชิกภาพ ส.ส.ดังนั้น กกต.ผู้ร้องจึงยังสามารถยื่นคำร้องให้ศาลฎีกามีคำสั่งคดีนี้ได้ ข้อคัดค้านของนายบุญจง ผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น

คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยข้อต่อไปว่า การสอบสวนเพิ่มเติมในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ ร.ต.อ.ชัยวัฒน์ ศรีสูงเนิน หัวหน้าคณะอนุกรรมการสอบสวนเพิ่มเติม ซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่เขยของนายอภิชา เลิศพชรกมล ผู้ร้องคัดค้าน ที่ กกต.ผู้ร้อง แต่งตั้งขึ้นชอบด้วยหรือไม่ เห็นว่าการตั้งคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนเป็นดุลพินิจของ กกต.ผู้ร้องที่จะมีความเห็นตั้งผู้ใดเป็นคณะกรรมการสอบสวนก็ได้ หากบุคคลนั้น มีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่กฎหมายเลือกตั้งบัญญัติไว้ ซึ่งไม่ได้มีข้อห้ามตั้งเจ้าหน้าที่ที่มีความเกี่ยวพันกับผู้ร้องคัดค้าน อีกทั้งในทางไต่สวนไม่ปรากฏว่า ร.ต.อ.ชัยวัฒน์ มีอคติในการกระทำใดๆที่จะทำให้เห็นว่าไม่เป็นกลางหรือทำให้การสอบสวนไม่สุจริตและเที่ยงธรรม ข้ออ้างของนายบุญจงผู้คัดค้านจึงเป็นเรื่องที่จะต้องวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานว่ามีเหตุให้เชื่อถือได้หรือไม่เพียงใด ดังนั้นที่ กกต.ผู้ร้องมีคำสั่งคดีนี้ โดยอาศัยข้อเท็จจริงจากการสืบสวนสอบสวนเพิ่มเติมของ ร.ต.อ.ชัยวัฒน์ มาประกอบการพิจารณา จึงไม่ได้เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างใด ข้อคัดค้านของนายบุญจง ผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น

คดีมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายว่า นายบุญจง ผู้คัดค้านมีส่วนสนับสนุนหรือรู้เห็นเป็นใจ หรือให้มีการกระทำที่ฝ่าฝืน พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว.ฯ ม.53 (1) (3) และ (4) และ ม.57 ทำให้นายบุญจง ผู้คัดค้านได้รับประโยชน์ในการเลือกตั้งเขต 6 นครราชสีมา อันเป็นเหตุให้มีคำสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งนายบุญจง ผู้คัดค้านเป็นเวลา 5 ปี หรือไม่ เห็นว่า การที่ น.ส.สายพิรุณ น้อยศิริ เจ้าหน้าที่พัฒนาชุมชน จ.นครราชสีมา ที่กล่าวเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2553 ในงานเลี้ยงโครงการพัฒนาศักยภาพผู้นำชุมชน อ.จักราช จำนวน 300 คน ที่จัดขึ้น ที่โรงแรมบ้านสบ๊าย สบาย หาดแม่รำพึง จ.ระยอง ที่ระบุว่า “การที่เราเข้ามาครั้งนี้ เป็นดำริของท่านบุญจง ว่าทำอย่างไรให้ผู้นำชุมชนได้ไปดูงานในที่ดีๆ ท่านบุญจง จึงจัดที่พักอย่างดี ราคาแพง ด้วยความกรุณาของท่านบุญจง ได้ประสาน เพราะปกติจะรับแต่กลุ่มคนไฮโซ และเป็นที่พักส่วนตัว เพราะอยากให้เราได้กินอาหารทะเลดีๆ ในบรรยากาศริมทะเล จึงให้พัฒนาจังหวัดมาดูแล นอกจากนี้ ยังเตรียมเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างดีมาเป็นรางวัลให้ได้ลุ้นกัน และขากลับจะมีค่ารถให้กับทุกคน จึงขอให้สนับสนับในวันที่ท่านจะต้องไปสมัครเลือกตั้ง เพื่อให้กลับมาเป็น ส.ส.อีกครั้ง” ขณะที่รองนายก อบต.ศรีสุขที่ไปร่วมงาน กล่าวในงานเดียวกันว่า “ที่ได้มาที่นี้ เพราะบารมีของท่าน มท.2 สนับสนุน ที่เรามาวันนี้ขอให้เป็นงานกระชับมิตรและสนับสนุนให้ท่านได้กลับมาเป็น ส.ส.และรัฐมนตรีอีกครั้ง” เห็นว่าการที่บุคคลทั้งสองได้กล่าวถ้อยคำนั้น ทางไต่สวนไม่ปรากฏว่านายบุญจง ผู้คัดค้านเข้าไปมีส่วนรวมในการจัดโครงการหรือมีการกระทำที่เอื้อประโยชน์ต่อโครงการหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่นายสุเทพ หรือ น.ส.สายพิรุณ มีแต่นางสมมาตย์ พิรักษา ที่เบิกความต่อศาลว่า เห็นนายบุญจงผู้คัดค้านยื่นอยู่ข้างรถตู้สีบอร์น ข้างที่ว่าการ อ.จักราช และน.ส.หัด สมศรี ที่เบิกความต่อศาลว่า เห็นผู้คัดค้านยืนอยู่ข้างรถตู้สีบอร์นบริเวณโรงแรมบ้านสบ๊ายสบาย แต่พยานสองปากนี้เข้ามาให้การโดย ร.ต.อ.ชัยวัฒน์ หัวหน้าคณะอนุกรรมการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเป็นผู้นำมาภายหลัง หลังจากที่คณะอนุกรรมการวินิจฉัยคำร้องและปัญหาหรือข้อโต้แย้งคณะที่ 7 สั่งให้มีการสืบสวนสอบสวนเพิ่มเติม แต่พยานทั้งสองปากก็ไม่ได้มาให้ถ้อยคำต่อ ร.ต.อ.ชัยวัฒน์ว่าเคยเห็นผู้คัดค้านทั้งที่เป็นข้อสำคัญในการสอบสวน อีกทั้งหากนายบุญจง ผู้คัดค้านไปอยู่สถานที่และเวลาดังกล่าวจริง ก็น่าจะมีบุคคลอื่นในสำนวนอีก 300 คน ที่เห็นนายบุญจงบ้าง แต่กลับไม่ปรากฏในการสอบสวนของ กกต.ผู้ร้อง ดังนั้นคำเบิกความของพยานทั้งสองปากดังกล่าวจึงมีพิรุธและมีน้ำหนักน้อย

ขณะที่การจัดทำโครงการสัมมนาดังกล่าวปรากฏว่าได้รับอนุมัติโครงการงบประมาณจากนายประจักษ์ สุวรรณภักดี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ที่ให้ดำเนินการแบ่งเป็น 42 รุ่น ครั้งละ 3 รุ่น รวม 14 ครั้ง แต่เมื่อดำเนินการมาถึงรุ่นที่ 37-39 ที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ เดิมได้กำหนดจัดอบรมเป็นครั้งที่ 13 ระหว่างวันที่ 26-27 ก.ย.53 แต่ต้องเลื่อนการฝึกอบรมไปเป็นวันที่ 20-21 ต.ค.53 เนื่องจากสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดนครราชสีมามีภารกิจที่ต้องเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณให้ทันภายในปีงบประมาณ2553 และจะต้องจัดทำรายงานผลปฏิบัติงานและก่อนถึงวันจัดอบรมตามกำหนดครั้งที่ 2 ได้เกิดฝนตกหนักทำให้เกิดอุทกภัยร้ายแรงใน 21 อำเภอ ใน จ.นครราชสีมา เจ้าหน้าที่พัฒนาชุมชนทุกระดับ ได้รับมอบหมายให้เข้าไปช่วยเหลือประชาชนจึงได้มีการเลื่อนจัดอบรมอีกไปเป็นวันที่ 19-20 พ.ย.53

ดังนั้น จึงเห็นได้ว่า การจัดอบรมและศึกษาดูงานที่ จ.ระยอง ตามโครงการพัฒนาศักยภาพผู้นำชุมชนดังกล่าว เป็นโครงการที่ราชการได้จัดให้มีขึ้นอยู่แล้วก่อนวันที่ 3 พ.ย.53 ซึ่งเป็นวันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ความเป็นสมาชิกภาพความเป็น ส.ส.ของนายบุญจง ผู้คัดค้านสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ 2550 ม.106 และยังเห็นได้ว่าเหตุที่มีการเลื่อนจัดอบรมไม่ได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของผู้คัดค้านแต่อย่างใด อีกทั้งค่าใช้จ่ายในการจัดอบรมดูงานทั้งค่าอาคาร ค่าเช่าที่พัก ค่าพาหนะ ค่าตอบแทนวิทยากร และค่าวัสดุฝึกอบรม ก็กำหนดมาจากงบประมาณของราชการทั้งสิ้น และเมื่อพิจารณาสภาพของโรงแรมบ้านสบ๊ายสบายตามภาพถ่ายพบว่า เป็นโรงแรมที่สามารถรองรับจำนวนผู้เข้าพักและคณะบุคคลหรือหน่วยราชการอาจเช่าหรือใช้บริการได้ไม่ต่างจากโรงแรมใหญ่ทั่วไปโดยไม่มีเหตุสนับสนุนให้เห็นว่าในการใช้บริการจะต้องอาศัยบารมีของบุคคลใดเป็นพิเศษตามที่ น.ส.สายพิรุณ กล่าวอวดอ้าง นอกจากนี้ ยังได้คำเบิกความจากนางอัฒฑนี เชิดชู เจ้าของกิจการโรงแรมบ้านสบ๊ายสบายและนายภากรณ์ ทองไพจิตร ผู้จัดการโรงแรมดังกล่าวว่า ผู้ที่ไปติดต่อเช่าที่พักและจัดอบรมคือนายปรีชา กิตติสัตยกุล นักวิชาการพัฒนาชุมชนชำนาญการพิเศษ สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดนครราชสีมาเท่านั้นไม่ใช่นายบุญจงผู้คัดค้านเป็นผู้ไปติดต่อและเรื่องอาหารและเครื่องดื่มในงานจัดเลี้ยง ก็ไม่ปรากฎตามทางไต่สวนว่า มีพยานปากใดเบิกความว่าเป็นอาหารชั้นดียิ่งกว่าอาหารที่โรงแรมจัดให้ตามปกติ ส่วนการแสดงบนเวทีส่วนใหญ่ผู้เข้าอบรมแสดงกันเองไม่มีวงดนตรีคงมีแต่เครื่องเสียงคาราโอเกะ นักร้อง 2-3 คน และมีผู้เต้นประกอบอีก 4-5 คน เท่านั้น แสดงว่าค่าใช้จ่ายไม่มาก ของขวัญที่แจกส่วนมากเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าราคาถูกซื้อมาจากห้างแม็คโคร สาขาระยอง ที่มีใบเสร็จรับเงินและพยานทั้งสองยังระบุว่าการแสดงบนเวทีและของขวัญที่แจก ทางโรงแรมเป็นผู้จัดสนับสนุนให้ทั้งสิ้น โดยคิดรวมอยู่ในค่าใช้จ่ายทั้งหมด ส่วนที่ น.ส.สายพิรุณ ยืมเงินจาก จ.นครราชสีมา มาใช้ จัดโครงการและขอให้โรงแรมออกใบเสร็จย้อนหลังเพื่อให้ถูกต้องตามวิธีการงบประมาณ จะเป็นการชอบหรือไม่อย่างไรนั้น ไม่ใช่เหตุที่จะแสดงให้เห็นว่านายบุญจง ผู้คัดค้านมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำและคำกล่าวหาเสียงของ น.ส.สายพิรุณ และรองนายก อบต.ศรีสุข

โดยสรุปศาลฎีกาเห็นว่า ตามทางไต่สวนยังไม่ปรากฏหลักฐานถึงขนาดอันควรเชื่อได้ว่านายบุญจง ผู้คัดค้าน มีส่วนสนับสนุนหรือรู้เห็นเป็นใจให้กับ น.ส.สายพิรุณ และนายสุเทพ กล่าวถ้อยคำหาเสียงซึ่งเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ส.และ ส.ว.ฯ ม.53 (1) (3) และ (4) และม. 57 ตามที่ กกต.ผู้ร้องกล่าวอ้าง กรณีจึงไม่มีเหตุที่จะสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งได้ จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้อง โดยให้แจ้งคำสั่งประธานรัฐสภาและนายกรัฐมนตรีทราบโดยเร็ว

ภายหลัง นายบุญจงกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า ขอบคุณศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง ตนรู้สึกดีใจ หลังจากที่ถูกกล่าวหาและต้องหยุดทำหน้าที่ส.ส.มาหลายเดือน ซึ่งตามข้อเท็จจริงแล้วตนไม่มีส่วนรู้เห็นหรือไปเกี่ยวข้องกับโครงการพัฒนาฯ และโครงการดังกล่าวก็มีมานานตามระเบียบของราชการ โดยหลังจากนี้ศาลจะส่งคำสั่งไปที่ประธานสภาผู้แทนราษฏรต่อไป ตนก็จะกลับไปทำหน้าที่ส.ส.ตามปกติ ทั้งนี้ คงไม่ได้ฉลองอะไร เพราะวันนี้ ถือเป็นการพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่ยืนยันว่ากระบวนการยุติธรรมมีอยู่ในทุกระบบ และบ้านเมืองจะสงบได้ก็เกิดจากความสามัคคี หากศาลตัดสินอะไรก็ควรน้อมรับ อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าจะไม่แจ้งความดำเนินคดีกับชาวบ้านที่ให้การพิรุธ เพราะถือว่าคดีนี้จบแล้ว

ด้าน นายศุภชัย ใจสมุทร โฆษกพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า ในส่วนของคดีจะเห็นว่าศาลฎีกา แผนกคดีเลือกตั้งได้วินิจฉัยทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายอย่างละเอียด โดยประเด็นไหนที่ไม่ถูกต้องศาลก็ไม่เห็นด้วย ที่สำคัญศาลได้เปิดโอกาสให้นายบุญจงต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ ถือเป็นนิมิตหมายอันดี ทำให้ทราบว่าศาลเป็นที่พึ่งได้เสมอ


กำลังโหลดความคิดเห็น