xs
xsm
sm
md
lg

อุทธรณ์แก้ยกฟ้อง “เสรีพิศุทธ์-ลูกน้อง” บุกค้นบ้าน “ปอ ประตูน้ำ”

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส
“เสรีพิศุทธ์” ชี้บ่อนยังมีอยู่เพราะตำรวจได้ผลประโยชน์ เตือน “ชูวิทย์” ออกมาแฉระวังตกเป็นเครื่องมือประเทศเพื่อนบ้าน ส่วนคดีบุกรุกบ้าน “ปอ ประตูน้ำ” โดยไม่แสดงหมายค้นเมื่อ ปี 49 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ยกฟ้อง ชี้เป็นการปฏิบัติหน้าที่ชุดปราบปรามอบายมุขฯ

วันนี้ (8 ก.พ.) เมื่อเวลา 09.30 น. ที่ห้องพิจารณาคดี 708 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีหมายเลขดำ อ.464/2549 หมายเลขแดง อ.3020/2551 ที่นายไพจิตร ธรรมโรจน์พินิจ หรือปอ ประตูน้ำ ผู้กว้างขวางย่านกิ่งเพชร เป็นโจทก์ฟ้อง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส จเรตำรวจแห่งชาติ, พ.ต.อ.สมบัติ ศุภชีวะ รอง ผบก. บช.ปส., พ.ต.อ.สุพจน์ เกษมชัยนันท์ รอง ผบก.นนทบุรี และพ.ต.ต.อาทร วิเศษสาทร พนักงานสอบสวน บช.ปส. ทั้งหมดเป็นยศและตำแหน่งในขณะนั้น ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-4 ตามลำดับในความผิดฐาน ร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ บุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ ตามประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา 83, 157, 358, 364 และ 365 (2) กรณี จำเลยที่ 1 ในฐานะหัวหน้าชุดปฏิบัติการสืบสวนปราบปรามผู้มีอิทธิพลที่กระทำความผิดเกี่ยวกับสถานบริการและอบายมุข สั่งการใช้ให้จำเลยที่ 2-4 บุกรุกเข้าไปตรวจค้นบ้านเลขที่ 487/53 ซอยวัฒนศิลป์ ถนนราชปรารภ แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กทม. ของโจทก์ในเวลากลางคืนโดยไม่แสดงหมายค้น และยังทำให้ประตูบ้านโจทก์เสียหายเหตุเกิดเมื่อคืนวันที่ 6 ก.พ. 2549

คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 15 ส.ค. 2551 ว่า ที่จำเลยที่ 2-3 เบิกความว่าได้แสดงหมายค้นให้คนดูแลบ้านของโจทก์ดูแล้วขัดกับคำเบิกความของพยานโจทก์ ที่ยืนยันว่าจำเลยที่ 2-3 ถามเพียงว่าบ้านหลังดังกล่าวเป็นของใคร เห็นว่าหากมีการแสดงหมายค้น โจทก์ควรจะบันทึกภาพไว้เป็นหลักฐาน จำเลยที่ 2-3 จึงมีความผิดเมื่อไม่แสดงหมายค้นในเวลากลางคืน ส่วนจำเลยที่ 4 นั้นโจทก์เบิกความว่าจดจำจำเลยที่ 4 ได้ว่าอยู่ในที่เกิดเหตุด้วย เพราะจำเลยที่ 4 จ้องหน้าโจทก์ขณะถูกไล่ออกไปนอกบ้าน เห็นว่าจำเลยที่ 2-4 ร่วมกันกระทำผิดตามที่โจทก์ฟ้องฐานเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต อันเป็นบทลงโทษหนักสุด ให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2-4 คนละ 3 ปี ปรับ 3,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษมีกำหนด 2 ปี ส่วนจำเลยที่ 1 แม้จะเป็นผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 2-4 แต่จะสรุปว่าเป็นคนสั่งให้จำเลยที่ 2-4 ไปตรวจค้นในเวลากลางคืนโดยไม่มีหมายค้นนั้นคงไม่ได้ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยที่ 1 พิพากษายกฟ้อง

ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า ที่จำเลยที่ 2-4 บุกรุกเข้าไปในบ้านพักของโจทตามฟ้อง เป็นการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะชุดปฏิบัติการสืบสวนปราบปรามผู้มีอิทธิพลที่กระทำความผิดเกี่ยวกับสถานบริการและอบายมุข โดยมีหมายค้นตามกฎหมาย ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้นศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วยพิพากษาแก้ให้ยกฟ้องจำเลยทั้งหมด

ภายหลัง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กล่าวว่า การตรวจค้นบ้านของนายไพรจิตร สืบเนื่องมาจากการตรวจค้นบ่อนปอ ประตูน้ำ และทราบว่ามีการนำรถยนต์ส่วนหนึ่งที่ได้จากการจำนำในบ่อนมาเก็บไว้ในบ้านที่เกิดเหตุ จึงมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ในบังคับบัญชานำหมายศาลเข้าไปตรวจค้น ซึ่งเป็นการใช้อำนาจโดยถูกต้อง แต่เมื่อไปถึงและแจ้งให้ผู้ดูแลบ้านทราบกลับไม่ให้ความร่วมมือ เจ้าหน้าที่จึงต้องงัดประตูเข้าไปและตรวจยึดรถยนต์ได้จำนวนมาก กระทั่งนายไพจิตรเดินทางมาดูที่เกิดเหตุและนำคดีมาฟ้องศาล

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ยังกล่าวถึงการเปิดเผยข้อมูลบ่อนพนันของนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรครักประเทศไทย ว่าอะไรที่ผิดกฎหมายก็เป็นสิ่งไม่ดีทั้งนั้น ส่วนหนึ่งที่บ่อนพนันยังมีอยู่เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ผลประโยชน์ ซึ่งต่อจากนี้เป็นหน้าที่ของตำรวจที่จะต้องปราบปรามตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการปราบปรามบ่อนพนันนั้นหมดไป ส่วนบทบาทของนายชูวิทย์ถือเป็นเรื่องดี แต่ก็มีหลายฝ่ายเกรงว่าอาจตกเป็นเครื่องมือของประเทศเพื่อนบ้านที่เปิดบ่อนพนันอย่างถูกกฎหมาย
กำลังโหลดความคิดเห็น