xs
xsm
sm
md
lg

ตร.คุยโวมี 3 อาหรับร่วมแก๊ง “อาทริส ฮุสเซน” แต่หนีออกนอกประเทศแล้ว

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

(แฟ้มภาพ)  ในวันที่กองปราบฯ คุมตัว อาทริส  ฮุสเซน ผู้ต้องหาชาวเลบานอนฝากขังศาลเมื่อวันที่ 17 ม.ค.55
ทีมสืบสวนคดี “อาทริส ฮุสเซน” ผู้ต้องหาซุกสารตั้งต้นผลิตระเบิด เผย ผู้ต้องหาเช่าตึกพาณิชย์ที่สมุทรสาครมากว่า 2 ปี พร้อมเตรียมซื้อขายกับเจ้าของในราคา 6 ล้าน แต่มาถูกจับก่อน เผย มี “ดาบตำรวจ” ไปเช่าห้องพักในตึกพาณิชย์เดียวกันจริง แต่เช่าแค่ 2 เดือนเท่านั้น ขณะที่ รองผบ.ตร.ยันมีเบาะแสผู้ร่วมขบวนการกับ “อาทริส” แล้ว พร้อมเร่งรวบรวมหลักฐานโยงใครเกี่ยวข้องดำเนินคดีทันที่ ด้าน ผบช.น. เชื่อผู้ต้องสงสัยชาวอาหรับอีก 3 คนน่าจะหนีออกนอกประเทศไปแล้ว

วันนี้ (18 ม.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น.ที่กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน (บช.ตชด.) พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รองผบ.ตร.พร้อมด้วย พล.ต.ท.จรัมพร สุระมณี ผู้ช่วยผบ.ตร. พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รองผบช.น. และชุดสอบสวน บช.ภ.7 ประชุมติดตามความคืบหน้าคดีนายอาทริส ฮุสเซน ผู้ต้องหาชาวเลบานอนในคดีผิด พ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ หลังนำตัวไปฝากขังยังศาลอาญารัชดาฯ เมื่อช่วงเย็นวานนี้ โดยในที่ประชุมได้มีการพูดคุยถึงกรณีที่มีข่าวในหนังสือพิมพ์ว่ามีการจัดฉากคดีนี้ เนื่องจากที่อาคารพาณิชย์เลขที่ 52/15 ม.2 ต.กาหลง อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ที่นายอาทริสไปเช่าเก็บสารตั้งต้นผลิตระเบิด ตามที่ตำรวจลงไปตรวจยึดปุ๋ยยูเรีย และแอมโมเนียไนเตรต กว่า 4,000 กิโลกรัม เคยมีตำรวจไปเช่าอยู่ โดยทางตำรวจ สภ.บางโทรัด ได้รายงานว่า อาคารพาณิชย์ดังกล่าวมีจำนวน 10 ห้อง ซึ่งผู้ต้องหาเช่าไว้ตั้งแต่ 2 ปีก่อนหน้านี้ ในราคาค่าเช่าเดือนละ 15,000 บาท และมีการเช่าอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งกำลังจะทำสัญญาซื้อขายห้องดังกล่าวกับเจ้าของในราคา 6 ล้าน

ส่วนตำรวจที่มาเช่าห้องในอาคารพาณิชย์ด้วยนั้น จากการตรวจสอบพบว่า มีจริงเป็นตำรวจยศ "ดาบตำรวจ" ซึ่งได้มาเช่าห้องหลังจากนายอาทริส เช่าไปก่อนหน้านี้ เพื่อจะขายข้าวสาร โดยมาเช่าห้องเพียงระยะเวลา 2 เดือนเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้ขายข้าวสารเพียงแต่ให้คนงานมาพักเท่านั้น

พล.ต.อ.ปานศิริ เปิดเผยความคืบหน้าการสอบสวนคดีจับกุมนายอาทริส ฮุนเซน ว่า หลังจากนำตัวนายอาทริส ฝากขังยังศาลอาญาวานนี้แล้วทางชุดสอบสวนในคดียังคงดำเนินการติดตามสอบสวนทั้งส่วนของพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องกับนายอาทริส ซึ่งติดต่อกันในการเดินทางเข้าออกประเทศถึง 11 ครั้ง โดยผู้ที่ติดต่อเกี่ยวข้องจะทำการสอบสวนทั้งหมด ซึ่งพอมีเบาะแสบางส่วนแต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ และในส่วนของหลักฐานวัตถุพยานที่รวบรวมได้ในที่เกิดเหตุ ขณะนี้ได้ให้กองพิสูจน์หลักฐานตรวจสอบ โดยแบ่งงานแต่ละฝ่ายให้ไปเร่งดำเนินการและรายงานผลความคืบหน้าให้ทราบทุกวัน

ผู้สื่อข่าวถามว่าจากการรวบรวมพยานหลักฐานในขณะนี้สามารถแจ้งข้อหาผู้ร่วมขบวนการกับนายอาทริสได้เพิ่มเติมอีกหรือไม่ หลังมีข่าวว่ายังมีเพื่อนต่างชาติที่อยู่ห้องเช่าดังกล่าวด้วยกันอีก 3 คนคือ นายแซม นายเอบาส และนายเอล่า พล.ต.อ.ปานศิริ กล่าวว่า ขณะนี้สามารถแจ้งข้อหานายอาทริสได้เพียงคนเดียว แต่ยังดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานอย่างต่อเนื่อง หากพบว่ามีใครที่เกี่ยวข้องก็จะดำเนินการตามกฎหมายทันที

ส่วนกรณีการดำเนินคดีนายอาทริส ตามข้อหาก่อการร้าย นั้น พล.ต.อ.ปานศิริ กล่าวว่า ยังไม่สามารถดำเนินการได้ ซึ่งอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน โดยขณะนี้แจ้งได้เพียงข้อหาตามความผิด พ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์

เมื่อถามว่าจากการนำตัวนายอาทริส ไปตรวจค้นที่ จ.สมุทรสาคร เพิ่มเติมก่อนนำตัวไปฝากขังที่ศาลอาญาเมื่อวานนี้(17 ม.ค.) ได้เบาะแสเพิ่มเติมหรือไม่ พล.ต.อ.ปานศิริ ได้เลี่ยงตอบคำถามโดยกล่าวเพียงว่าหากพบหลักฐานพยานเพิ่มเติมตำรวจต้องดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป

ในวันเดียวกันที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผบช.น. กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านทางทวิตเตอร์ ว่าในขณะนี้ยังไม่ถอนคำเตือนต่อพลเมืองสหรัฐฯกับภัยก่อการร้ายในกรุงเทพฯ ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการจับกุมผู้ต้องสงสัย พร้อมกับยึดของกลาง ซึ่งเป็นสารต้องห้ามที่จะนำไปใช้ประกอบวัตถุระเบิดได้จำนวนมาก ซึ่งสิ่งเหล่านี้น่าจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนได้ โดยอยากให้ทุกฝ่ายเบาใจได้ เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำงานกันอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม มีการเฝ้าระวังใน 3 จุดสำคัญ คือ ถนนรามบุตรี ถนนสุขุมวิท 22 และถนนข้าวสาร ที่ได้ประกาศไว้แล้วอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการป้องกันและปราบปราม

เมื่อผู้สื่อข่าถามว่า จะมีการแจ้งข้อหาเพิ่มเติมหรือไม่ พล.ต.ท.วินัย กล่าวว่า เรื่องการแจ้งข้อหายังเป็นข้อหาเดิม คือความผิดตามพ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ ข้อหาครอบครองแอมโมเนียไนเตรต โดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนจะมีการแจ้งข้อหาก่อการร้ายเพิ่มเติมหรือไม่อย่างไร นั้น ต้องสอบถามโดยตรงกับ พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัติ รองผบ.ตร. ซึ่งเป็นหัวหน้าชุดพนักงานสอบสวน

“ทั้ง 3 คน เป็นชาวอาหรับ ที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย เหมือนๆกับนักท่องเที่ยวธรรมดาเราไม่มีประวัติ มีชาวบ้านในย่านมหาชัยเห็นครั้งสุดท้ายเมื่อ 6 เดือนที่แล้ว เชื่อว่าขณะนี้น่าจะเดินทางออกนอกประเทศไปแล้ว ซึ่งการประสานงานเรื่องข้อมูลต่างๆนอกจากจะประสานกับสตม.แล้ว ยังมีการประสานงานร่วมกับหน่วยข่าวอื่นๆ ทั้งในและต่างประเทศอย่างใกล้ชิด" พล.ต.ท.วินัยกล่าว

ส่วนข้อมูลที่ว่าจะมีคนไทยเข้าไปเกี่ยวข้อง ด้วยหรือไม่นั้น ผบช.น. กล่าวว่า คาดว่าน่าจะเข้าไปเกี่ยวข้องในลักษณะช่วยอำนวยความสะดวก แต่ไม่รู้จุดประสงค์หลักของกลุ่มผู้ต้องสงสัย ส่วนที่มาที่ไปของสารแอมโมเนียไนเตรต ที่คาดว่าจะมีส่วนเชื่อมโยงกับถุงน้ำแข็งแห้งที่พบในที่เกิดเหตุนั้น ตอนนี้ต้องรอผลการสอบสวนของพนักงานสอบสวนก่อน

สำหรับถุงน้ำแข็งแห้งจะมีการนำเข้ามาจากประเทศใด หรือมีที่มาที่ไปอย่างไรนั้น ผบช.น. กล่าวว่า ต้องขอตรวจสอบให้ชัดเจนก่อนด้วยเช่นกัน ซึ่งการพูดคุยกับทางการสหรัฐเพิ่มเติมหรือไม่นั้น ทางเราได้คุยกันตลอด และจากการที่เรามาสามารถยึดสารตั้งต้นที่ใช้ประกอบวัตถุระเบิดได้ ก็เป็นการสร้างความเชื่อมั่นในระดับหนึ่ง ประชาชนชาวไทยและทางการข่าวทุกฝ่ายน่าจะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
กำลังโหลดความคิดเห็น