“เมื่อดูจากเจตนาแล้ว ถ้านายสุพจน์กลับมาบ้าน และได้สำรวจทรัพย์สินและหลักฐานที่คนร้ายรื้อค้นในบ้าน เชื่อว่าจะไม่มีการแจ้งความแน่นอน แต่ขณะนั้นเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน เพราะไม่รู้ข้อเท็จจริงว่าคนร้ายมุ่งที่จะมาเอาเงินในส่วนนี้ เมื่อได้รับแจ้งจากคนใช้ที่โทรศัพท์บอก ก็ต้องนึกถึงตำรวจไว้ก่อน แต่คงไม่คิดว่าจะเป็นเงินส่วนนี้”
นั่นคือคำพูดของ “พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา” รอง ผบ.ตร.ในฐานะหัวหน้าทีมสืบสวนสอบสวนคดีค้นร้ายปล้นบ้านนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม ช่วยราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ครั้งเข้าชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริต และเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา ที่มี น.ส.รสนา โตสิตระกูล ประธาน กมธ.เป็นประธานในที่ประชุมเมื่อวันที่ 8 ธ.ค.ที่ผ่านมา
ในคำชี้แจง “พล.ต.อ.ภาณุพงศ์” ยังขยายความว่า...จากคำให้การ และหลักฐานในที่เกิดเหตุพบว่า ยังมีกระเป๋าอีก 3 ใบในที่เกิดเหตุ ซึ่งคนร้ายได้เอาไป 1 ใบ และจากการสืบสวนคนร้ายให้การว่า กระเป๋าใบนั้นมีเงินประมาณ 20 ล้านบาท และยังมีอีก 2 ใบใหญ่ที่ไม่ได้ถูกรื้อค้น ซึ่งก็คาดการณ์ว่าน่าจะมีเงินในปริมาณเท่าๆ กัน และในตอนแรกเราก็ไม่พบพิรุธ เพราะมีการแจ้งว่าถูกปล้นไป 7 แสนบาท แต่พอมาเพิ่มยอดทีหลัง จึงรู้สึกว่าผิดปกติ ยืนยันว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ความเป็นธรรม และทำงานไปตามระบบ เราไม่สามารถเบี่ยงเบนคดีได้ ส่วนจะมีการนำเงินไปยัดในภายหลังหรือไม่ คนพวกนี้ไม่มีปัญญาทำ ส่วนเงินของกลางที่อยู่กับนายโก้ คาดว่าขนไปไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท”
ปฎิบัติการปล้นประจานในครั้งนี้...เรื่องที่เกิดขึ้นคือ มีการปล้นจริง! ได้ทรัพย์สินไปจริง! แต่ปัญหาอยู่ที่ตัวเลขของเงินที่ถูกปล้น โดยเจ้าทรัพย์แจ้งว่าเงินหายไป 5 ล้านบาท แต่เงินของกลางที่ติดตามมาได้ ณ.วันนี้ ตัวเลขอยู่ที่ 18.1 ล้านบาท เพราะฉะนั้น เงินส่วนเกินอีก 13.1 ล้านบาท มาจากไหน เป็นเงินของใคร ของนายสุพจน์ (ในกรณีเขาพูดโกหก) หรือเป็นเงินที่ถูกยัดใส้เข้ามาเพื่อกลั่นแกล้งเจ้าทุกข์
ประเด็น “ถูกยัดเงิน” หลายคนไม่เชื่อว่าจะเป็นจริง แต่สำหรับ “น.ส.รสนา โตสิตระกูล” ประธาน กมธ.เขากลับ “มองฉีกมุม” ในประเด็นนี้ และเขาคือบุคคลเดียวที่เปิดประเด็นถามในที่ประชุมว่า...“จะเชื่อได้อย่างไรว่าเงินดังกล่าวเป็นเงินของนายสุพจน์จริง และจะมีกรณีการยัดเงินเข้ามาในภายหลังหรือไม่ เพราะมีการมองว่าการปล้นครั้งนี้เป็นการปล้นทางการเมือง ที่ต้องการแฉ และใส่ร้ายกัน รวมทั้งความเป็นไปได้หรือไม่ที่มีการปล้นเงินไปส่วนหนึ่ง และนำเงินอีกส่วนหนึ่งเข้ามาผสม เนื่องจากคดีนี้ทำท่าจะกลายเป็นว่าเจ้าทุกข์ตกเป็นผู้ต้องสงสัยเสียเอง ซึ่งต้องให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย ตรงนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะมีวิธีการพิสูจน์อย่างไรว่าจะไม่มีการใส่ร้าย และยัดเงินในภายหลัง เพราะมีการมองว่านักการเมืองอีกค่ายสั่งมาให้ปล้นหรือไม่”
การเปิดประเด็น “ยัดเงินใส่ร้ายผู้เสียหาย” จะเป็นเรื่องบังเอิญหรือตั้งใจ...ของ “น.ส.รสนา โตสิตระกูล” คงไม่มีใครตอบได้ นอกจากผู้เปิดประเด็น!
แต่วันเดียวกัน 8 ธ.ค.54 เป็นวันที่นายสุพจน์ ผู้เสียหายนัดให้การต่อตำรวจ จากเดิมนัดวันที่ 7 ธ.ค.54 แต่ผู้เสียหายแจ้งเลื่อนมาอีก 1 วัน เพื่อเจตนาให้ตรงกับวันที่ “น.ส.รสนา โตสิตระกูล” เปิดประเด็นถูกยัดเงินหรือไม่ เรื่องนี้ก็ไม่มีใครทราบเช่นกัน นอกจากตัวผู้เสียหายเอง!
เป็นเวลากว่า 2 ชั่วโมงในการสอบปากคำอย่างเป็นทางการครั้งแรก ของ “นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม” ผู้เสียหายที่กำลังจะตกเป็นผู้ต้องหาฐานแจ้งความเท็จรายนี้ โดยที่จากเดิมผู้เสียหายนัดให้ไปสอบปากคำที่บ้านพักซึ่งเป็นบ้านเกิดเหตุ แต่จะด้วยเหตุผลกลใดไม่ทราบ จู่ๆ “สุพจน์” เปลี่ยนใจ นัดให้ตำรวจไปสอบปากคำที่โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์
แน่นอนเรื่องสถานที่สอบปากคำ ไม่ใช่สาระสำคัญ แต่สาระสำคัญอยู่ที่คำให้การของ “สุพจน์ ทรัพย์ล้อม” ว่าเขาจะยังยืนยันคำพูดเดิมอยู่ที่ตัวเลข 5 ล้านบาท หรือไม่?
คำตอบ!!! “พล.ต.ต.สุธีร์ เนรกัณฐี” ผบก.น.4 ทีมสอบสวนเปิดเผยหลังสอบปากคำว่า... การเข้าพบนายสุพจน์ เพื่อสอบปากคำเกี่ยวกับคดีเพิ่มเติม โดยเฉพาะในส่วนทรัพย์สินที่หายไป ส่วนที่ต้องเดินทางมาสอบปากคำที่โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เนื่องจากนายสุพจน์ให้เหตุผลต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าติดประชุมที่โรงแรมจึงต้องเดินทางมาสอบปากคำที่นี่เพื่อความสะดวก ซึ่งนายสุพจ์ยังยืนยันต่อเจ้าหน้าที่ว่า จำนวนเงินที่หายไปมีทั้งหมด 5 ล้านบาทเหมือนครั้งแรกที่ได้เข้าแจ้งความ ขณะนี้จำนวนเงินที่รวบรวมได้จากคนร้ายนั้นมีทั้งสิ้น 18.1 ล้านบาทแล้ว ซึ่งเกินจำนวนที่นายสุพจน์ยืนยัน ก็จะมีการสืบสวนสอบสวนในส่วนของคนร้ายที่สามารถจับกุมมาได้ว่าจำนวนเงินที่เกินมานั้นได้มาอย่างไร จากที่ใดกันแน่”
จากประเด็นเงิน 5 ล้านบาท และตัวเลขเงินของกลาง 18.1 ล้านบาท โดยที่เจ้าทุกข์ยืนยันว่าเงินหาย 5 ล้าน แต่กลุ่มคนร้ายสารภาพว่าได้เงินกว่า 200 ล้านบาท อีกทั้งสารภาพว่ามีเงินเหลืออยู่ในบ้านอีกประมาณ 700-1,000 ล้านบาท ประกอบกับ ข้อสังเกตของ “พล.ต.อ.ภาณุพงศ์” ที่ว่าเมื่อดูจากเจตนาแล้ว ถ้านายสุพจน์กลับมาบ้าน และได้สำรวจทรัพย์สินและหลักฐานที่คนร้ายรื้อค้นในบ้าน เชื่อว่าจะไม่มีการแจ้งความแน่นอน ส่วนนายโก้ได้เงินไปกว่า 100 ล้านบาท ทั้งหมดนี้คือ ข้อเท็จจริงที่ต้องพิสูจน์ว่า...ใครพูดจริง! ใครพูดเท็จ!
แต่สำหรับ “สุพจน์ ทรัพย์ล้อม” เจ้าทุกข์รายนี้ ถือว่าไม่ธรรมดา...
ไม่ธรรมดา 1.คือ ทำไมวันเกิดเหตุ ภรรยาให้ข่าวกับสื่อว่า...เป็นเรื่องเข้าใจผิด
ไม่ธรรมดา 2.คือ ทำไมครั้งแรกหลังเกิดเหตุแจ้งว่าเงินหาย 700,000 บาท ต่อมาภายหลังแจ้งว่า 5 ล้านบาท
ไม่ธรรมดา 3.คือ ทำไมเขาจึงไม่ทุกข์ไม่ร้อนที่จะเข้าให้การต่อตำรวจ เพื่อติดตามเงินและจับกลุ่มคนร้ายให้ได้โดยเร็ว
ไม่ธรรมดา 4.คือ ทำไมเขาพยายามบ่ายเบี่ยงและยื้อที่จะเข้าให้ปากคำต่อตำรวจ
ไม่ธรรมดา 5.คือ ทำไมหลังเกิดเหตุเขาต้องทำบุญใส่บาตรในทุกเช้า จากที่ก่อนหน้านั้น นานครั้งถึงจะทำ
ไม่ธรรมดา 6. คือ วันนัดให้การ 8 ธ.ค.เวลา 10.00 น.เขาได้นิมนต์พระสงฆ์ จำนวน 3 รูป เข้าไปทำบุญในบ้านเกิดเหตุ
ไม่ธรรมดา 7.คือ ทำไมเปลี่ยนสถานที่ให้การกะทันหัน จากบ้านเป็นโรงแรม
ไม่ธรรมดา 8.คือ เขาให้การยืนยันตัวเลขอยู่ที่ 5 ล้านบาท เกิดหลังจาก “น.ส.รสนา” เปิดประเด็น ถูกปล้นยัดเงิน และไม่ธรรมดา 9.คือ หากเขาถูกปล้นยัดเงินและถูกกลั่นแกล้งจริง ปกติของคนจะอยู่เฉยๆ และไม่ตั้งโต๊ะแถลงต่อสู้กับความไม่ถูกต้องเลยหรือครับ!....
นั่นคือคำพูดของ “พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา” รอง ผบ.ตร.ในฐานะหัวหน้าทีมสืบสวนสอบสวนคดีค้นร้ายปล้นบ้านนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม ช่วยราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ครั้งเข้าชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริต และเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา ที่มี น.ส.รสนา โตสิตระกูล ประธาน กมธ.เป็นประธานในที่ประชุมเมื่อวันที่ 8 ธ.ค.ที่ผ่านมา
ในคำชี้แจง “พล.ต.อ.ภาณุพงศ์” ยังขยายความว่า...จากคำให้การ และหลักฐานในที่เกิดเหตุพบว่า ยังมีกระเป๋าอีก 3 ใบในที่เกิดเหตุ ซึ่งคนร้ายได้เอาไป 1 ใบ และจากการสืบสวนคนร้ายให้การว่า กระเป๋าใบนั้นมีเงินประมาณ 20 ล้านบาท และยังมีอีก 2 ใบใหญ่ที่ไม่ได้ถูกรื้อค้น ซึ่งก็คาดการณ์ว่าน่าจะมีเงินในปริมาณเท่าๆ กัน และในตอนแรกเราก็ไม่พบพิรุธ เพราะมีการแจ้งว่าถูกปล้นไป 7 แสนบาท แต่พอมาเพิ่มยอดทีหลัง จึงรู้สึกว่าผิดปกติ ยืนยันว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ความเป็นธรรม และทำงานไปตามระบบ เราไม่สามารถเบี่ยงเบนคดีได้ ส่วนจะมีการนำเงินไปยัดในภายหลังหรือไม่ คนพวกนี้ไม่มีปัญญาทำ ส่วนเงินของกลางที่อยู่กับนายโก้ คาดว่าขนไปไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท”
ปฎิบัติการปล้นประจานในครั้งนี้...เรื่องที่เกิดขึ้นคือ มีการปล้นจริง! ได้ทรัพย์สินไปจริง! แต่ปัญหาอยู่ที่ตัวเลขของเงินที่ถูกปล้น โดยเจ้าทรัพย์แจ้งว่าเงินหายไป 5 ล้านบาท แต่เงินของกลางที่ติดตามมาได้ ณ.วันนี้ ตัวเลขอยู่ที่ 18.1 ล้านบาท เพราะฉะนั้น เงินส่วนเกินอีก 13.1 ล้านบาท มาจากไหน เป็นเงินของใคร ของนายสุพจน์ (ในกรณีเขาพูดโกหก) หรือเป็นเงินที่ถูกยัดใส้เข้ามาเพื่อกลั่นแกล้งเจ้าทุกข์
ประเด็น “ถูกยัดเงิน” หลายคนไม่เชื่อว่าจะเป็นจริง แต่สำหรับ “น.ส.รสนา โตสิตระกูล” ประธาน กมธ.เขากลับ “มองฉีกมุม” ในประเด็นนี้ และเขาคือบุคคลเดียวที่เปิดประเด็นถามในที่ประชุมว่า...“จะเชื่อได้อย่างไรว่าเงินดังกล่าวเป็นเงินของนายสุพจน์จริง และจะมีกรณีการยัดเงินเข้ามาในภายหลังหรือไม่ เพราะมีการมองว่าการปล้นครั้งนี้เป็นการปล้นทางการเมือง ที่ต้องการแฉ และใส่ร้ายกัน รวมทั้งความเป็นไปได้หรือไม่ที่มีการปล้นเงินไปส่วนหนึ่ง และนำเงินอีกส่วนหนึ่งเข้ามาผสม เนื่องจากคดีนี้ทำท่าจะกลายเป็นว่าเจ้าทุกข์ตกเป็นผู้ต้องสงสัยเสียเอง ซึ่งต้องให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย ตรงนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะมีวิธีการพิสูจน์อย่างไรว่าจะไม่มีการใส่ร้าย และยัดเงินในภายหลัง เพราะมีการมองว่านักการเมืองอีกค่ายสั่งมาให้ปล้นหรือไม่”
การเปิดประเด็น “ยัดเงินใส่ร้ายผู้เสียหาย” จะเป็นเรื่องบังเอิญหรือตั้งใจ...ของ “น.ส.รสนา โตสิตระกูล” คงไม่มีใครตอบได้ นอกจากผู้เปิดประเด็น!
แต่วันเดียวกัน 8 ธ.ค.54 เป็นวันที่นายสุพจน์ ผู้เสียหายนัดให้การต่อตำรวจ จากเดิมนัดวันที่ 7 ธ.ค.54 แต่ผู้เสียหายแจ้งเลื่อนมาอีก 1 วัน เพื่อเจตนาให้ตรงกับวันที่ “น.ส.รสนา โตสิตระกูล” เปิดประเด็นถูกยัดเงินหรือไม่ เรื่องนี้ก็ไม่มีใครทราบเช่นกัน นอกจากตัวผู้เสียหายเอง!
เป็นเวลากว่า 2 ชั่วโมงในการสอบปากคำอย่างเป็นทางการครั้งแรก ของ “นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม” ผู้เสียหายที่กำลังจะตกเป็นผู้ต้องหาฐานแจ้งความเท็จรายนี้ โดยที่จากเดิมผู้เสียหายนัดให้ไปสอบปากคำที่บ้านพักซึ่งเป็นบ้านเกิดเหตุ แต่จะด้วยเหตุผลกลใดไม่ทราบ จู่ๆ “สุพจน์” เปลี่ยนใจ นัดให้ตำรวจไปสอบปากคำที่โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์
แน่นอนเรื่องสถานที่สอบปากคำ ไม่ใช่สาระสำคัญ แต่สาระสำคัญอยู่ที่คำให้การของ “สุพจน์ ทรัพย์ล้อม” ว่าเขาจะยังยืนยันคำพูดเดิมอยู่ที่ตัวเลข 5 ล้านบาท หรือไม่?
คำตอบ!!! “พล.ต.ต.สุธีร์ เนรกัณฐี” ผบก.น.4 ทีมสอบสวนเปิดเผยหลังสอบปากคำว่า... การเข้าพบนายสุพจน์ เพื่อสอบปากคำเกี่ยวกับคดีเพิ่มเติม โดยเฉพาะในส่วนทรัพย์สินที่หายไป ส่วนที่ต้องเดินทางมาสอบปากคำที่โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เนื่องจากนายสุพจน์ให้เหตุผลต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าติดประชุมที่โรงแรมจึงต้องเดินทางมาสอบปากคำที่นี่เพื่อความสะดวก ซึ่งนายสุพจ์ยังยืนยันต่อเจ้าหน้าที่ว่า จำนวนเงินที่หายไปมีทั้งหมด 5 ล้านบาทเหมือนครั้งแรกที่ได้เข้าแจ้งความ ขณะนี้จำนวนเงินที่รวบรวมได้จากคนร้ายนั้นมีทั้งสิ้น 18.1 ล้านบาทแล้ว ซึ่งเกินจำนวนที่นายสุพจน์ยืนยัน ก็จะมีการสืบสวนสอบสวนในส่วนของคนร้ายที่สามารถจับกุมมาได้ว่าจำนวนเงินที่เกินมานั้นได้มาอย่างไร จากที่ใดกันแน่”
จากประเด็นเงิน 5 ล้านบาท และตัวเลขเงินของกลาง 18.1 ล้านบาท โดยที่เจ้าทุกข์ยืนยันว่าเงินหาย 5 ล้าน แต่กลุ่มคนร้ายสารภาพว่าได้เงินกว่า 200 ล้านบาท อีกทั้งสารภาพว่ามีเงินเหลืออยู่ในบ้านอีกประมาณ 700-1,000 ล้านบาท ประกอบกับ ข้อสังเกตของ “พล.ต.อ.ภาณุพงศ์” ที่ว่าเมื่อดูจากเจตนาแล้ว ถ้านายสุพจน์กลับมาบ้าน และได้สำรวจทรัพย์สินและหลักฐานที่คนร้ายรื้อค้นในบ้าน เชื่อว่าจะไม่มีการแจ้งความแน่นอน ส่วนนายโก้ได้เงินไปกว่า 100 ล้านบาท ทั้งหมดนี้คือ ข้อเท็จจริงที่ต้องพิสูจน์ว่า...ใครพูดจริง! ใครพูดเท็จ!
แต่สำหรับ “สุพจน์ ทรัพย์ล้อม” เจ้าทุกข์รายนี้ ถือว่าไม่ธรรมดา...
ไม่ธรรมดา 1.คือ ทำไมวันเกิดเหตุ ภรรยาให้ข่าวกับสื่อว่า...เป็นเรื่องเข้าใจผิด
ไม่ธรรมดา 2.คือ ทำไมครั้งแรกหลังเกิดเหตุแจ้งว่าเงินหาย 700,000 บาท ต่อมาภายหลังแจ้งว่า 5 ล้านบาท
ไม่ธรรมดา 3.คือ ทำไมเขาจึงไม่ทุกข์ไม่ร้อนที่จะเข้าให้การต่อตำรวจ เพื่อติดตามเงินและจับกลุ่มคนร้ายให้ได้โดยเร็ว
ไม่ธรรมดา 4.คือ ทำไมเขาพยายามบ่ายเบี่ยงและยื้อที่จะเข้าให้ปากคำต่อตำรวจ
ไม่ธรรมดา 5.คือ ทำไมหลังเกิดเหตุเขาต้องทำบุญใส่บาตรในทุกเช้า จากที่ก่อนหน้านั้น นานครั้งถึงจะทำ
ไม่ธรรมดา 6. คือ วันนัดให้การ 8 ธ.ค.เวลา 10.00 น.เขาได้นิมนต์พระสงฆ์ จำนวน 3 รูป เข้าไปทำบุญในบ้านเกิดเหตุ
ไม่ธรรมดา 7.คือ ทำไมเปลี่ยนสถานที่ให้การกะทันหัน จากบ้านเป็นโรงแรม
ไม่ธรรมดา 8.คือ เขาให้การยืนยันตัวเลขอยู่ที่ 5 ล้านบาท เกิดหลังจาก “น.ส.รสนา” เปิดประเด็น ถูกปล้นยัดเงิน และไม่ธรรมดา 9.คือ หากเขาถูกปล้นยัดเงินและถูกกลั่นแกล้งจริง ปกติของคนจะอยู่เฉยๆ และไม่ตั้งโต๊ะแถลงต่อสู้กับความไม่ถูกต้องเลยหรือครับ!....