ศาลอาญาสั่งส่งตัว 2 นักศึกษาไทยกลับไปดำเนินคดีฐานแทงคนตายที่ประเทศออสเตรเลีย ทนายยันขออุทธรณ์สู้ต่อ เพื่อขอให้พิจารณาคดีในไทย อ้างเกรงลูกความถูกทำร้าย-เหยียดผิด
วันนี้ (30 พ.ย.) เมื่อเวลา 09.30 น.ที่ห้องพิจารณา 801 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำสั่งคดีหมายเลขดำ อผ.7/2553 ที่พนักงานอัยการฝ่ายต่างประเทศ เป็นโจทก์ฟ้อง นายสารัต หรือ สุรัต หรือ ศรุต สีหวีระชา อายุ 28 ปี อดีตนักเรียนไทยในประเทศออสเตรเลีย และ นายธติยะ หรือ กอล์ฟ เทิดภูธรรม อายุ 26 ปี เป็นจำเลยที่ 1 และ 2 เรื่องส่งผู้ร้ายข้ามแดน
คดีนี้โจทก์นำสืบว่า เมื่อวันที่ 24 พ.ค.52 จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันใช้อาวุธมีดแทง นายลุค มิทเชลล์ ชาวออสเตรเลีย จนถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา เหตุเกิดที่ถนนซิดนีย์ บรันสวิค รัฐวิกตอเรีย ประเทศออสเตรเลีย เป็นความผิดอาญาตามกฎหมายออสเตรเลีย มีโทษจำคุกมากกว่า 1 ปี ต่อมาศาลประเทศออสเตรเลีย ได้ออกหมายจับจำเลยทั้ง 2 ไว้แล้ว พร้อมประสานถึงสำนักงานอัยการสูงสุดของไทย ให้ออกหมายจับจำเลยทั้ง 2 กระทั่งจับกุมจำเลยทั้ง 2 ได้ กระทรวงการต่างประเทศจึงทำหนังสือแจ้งสถานเอกอัครราชทูตออสเตรเลียประจำประเทศไทย เพื่อดำเนินการส่งตัวจำเลยทั้ง 2 เป็นผู้ร้ายข้ามแดน แม้ว่าประเทศไทยและประเทศออสเตรเลียไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน แต่ประเทศออสเตรเลียเคยเป็นอาณาบริเวณของประเทศอังกฤษ จึงยกประกาศสัญญาว่าด้วยส่งผู้ร้ายข้ามแดนกันในระหว่างกรุงสยามกับอังกฤษ ร.ศ.129 ประกอบการพิจารณา พร้อมจะกระทำตามสัญญาต่างตอบแทน หากมีการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนในอนาคตให้แก่ทางการไทยด้วย
จำเลยทั้ง 2 นำสืบว่าประเทศไทยกับออสเตรเลียไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนต่อกัน ประเทศออสเตรเลียไม่ได้อยู่ในบังคับของอังกฤษ ประกาศสัญญาฯ จึงใช้บังคับระหว่างไทยและอังกฤษเท่านั้น อีกทั้งการส่งขอเป็นผู้ร้ายข้ามแดนไม่ใช่ในลักษณะต่างตอบแทน และหากส่งตัวไปจำเลยจะไม่ได้รับการเป็นธรรมในการต่อสู้คดี เพราะชาวออสเตรเลียชอบเหยียดสีผิวชาวเอเชีย ทั้งคณะลูกขุนเป็นชาวออสเตรเลียย่อมมีอคติต่อจำเลยทั้งสอง และหากศาลมีคำพิพากษาจำคุกในประเทศออสเตรเลียจะไม่ได้รับการพระราชทานอภัยโทษเหมือนประเทศไทย
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า แม้ประเทศไทยกับออสเตรเลียจะไม่ได้ทำสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนโดยตรง แต่ประเทศออสเตรเลียเคยเป็นประเทศในอารักขาของประเทศอังกฤษ และแม้ว่าประเทศออสเตรเลียจะเป็นเอกราชจากประเทศอังกฤษแล้วก็ตาม แต่ประเทศออสเตรเลียสมัครใจปฏิบัติตามสนธิสัญญาที่ประเทศอังกฤษเคยทำไว้กับประเทศไทย จึงนำมาบังคับใช้กับประเทศออสเตรเลียได้ นอกจากนี้ ทางการออสเตรเลียจะปฏิบัติต่างตอบแทนหากทางการไทยขอส่งคนสัญชาติออสเตรเลียเป็นผู้ร้ายข้ามแดน การปฏิบัติต่างตอบแทนนั้นโดยสภาพเป็นการให้คำมั่นว่าจะปฏิบัติตาม จึงไม่จำเป็นต้องเคยทำหรือมีเงื่อนไขส่งผู้ร้ายข้ามแดนไว้ก่อน นอกจากนี้ จำเลยทั้ง 2 ได้รับคำยืนยันจากทางการออสเตรเลียว่าจะได้รับสิทธิ์เช่นเดียวกับนักโทษคนอื่นในออสเตรเลีย จะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันทั้งการจัดหาทนายความ ได้รับการประกันตัว ออกกำลังกาย ดูแลรักษาพยาบาล การศึกษา และหากคดีถึงที่สุดแล้วสามารถขอโอนตัวกลับมาคุมขังที่ประเทศไทยได้ เห็นได้ว่า ประเทศออสเตรเลียมีกระบวนการที่น่าเชื่อถือ หากมีการดำเนินคดีกับจำเลยทั้ง 2 ที่ประเทศออสเตรเลีย เชื่อว่าจำเลยทั้ง 2 จะได้รับความเป็นธรรม ความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตามกฎหมายไทยมีโทษถึงประหารชีวิต แต่ประเทศออสเตรเลียไม่มีโทษประหารชีวิต อีกทั้งกรณีดังกล่าวต้องไปพิสูจน์ความผิดโดยให้ศาลที่มีอำนาจในการพิจารณาอย่างแท้จริง ดังนั้น การที่รัฐบาลไทยจะส่งจำเลยทั้งสองไปเป็นผู้ร้ายข้ามแดน จึงไม่ได้เป็นการทำให้จำเลยทั้งสองเสียสิทธิ์ในกระบวนการยุติธรรม รวมถึงไม่ทำให้เสียเปรียบในการดำเนินคดี
จากพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาทั้งหมดมีน้ำหนักมั่นคงเพียงพอครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ที่จะส่งตัวจำเลยทั้งสองเป็นผู้ร้ายข้ามแดนได้ ไม่เข้าลักษณะต้องห้ามตามกฎหมายใดๆ จึงมีคำสั่งให้ขังจำเลยทั้งสองไว้เพื่อส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนไปดำเนินคดียังประเทศออสเตรเลีย แต่ไม่ให้ส่งตัวจำเลยทั้งสองออกไปนอกประเทศก่อนครบกำหนด 30 วัน และหากไม่ได้ส่งตัวจำเลยทั้งสองภายใน 90 วัน นับตั้งแต่วันที่ศาลมีคำสั่งถึงที่สุดให้ปล่อยตัวจำเลยทั้งสองไป
ภายหลัง ทนายความของ นายศรุต กล่าวว่า จะยื่นอุทธรณ์สู้ต่อเพื่อขอให้ศาลอนุญาตพิจารณาคดีในประเทศไทย โดยตั้งแต่จำเลยถูกควบคุมตัวตนทำหนังสือร้องขอความเป็นธรรม 3 ฉบับ ยื่นต่อกระทรวงการต่างประเทศขอให้พิจารณากรณีการเหยียดสีผิว การทำร้ายร่างกายของคนไทย แต่ไม่ได้รับการพิจารณา
ด้านมารดาของ นายศรุต กล่าวว่า วันเกิดเหตุเพื่อนลูกชายโทรศัพท์มาบอกว่าถูกแทงที่แขนก็ตกใจ จึงบอกให้รีบกลับมาเมืองไทย แต่เขาบอกว่าไม่ได้เป็นคนทำผิด และไม่ยอมกลับขอเรียนให้จบก่อนเพราะเหลืออีกวิชาเดียว กระทั่งช่วงเย็นถึงยอมกลับมาเมืองไทย ซึ่งเมื่อสอบถามเหตุการณ์ลูกชายเล่าว่าวันเกิดเหตุไปดื่มเหล้ากับเพื่อนชาวไทยอีก 2 คน แต่ไม่ทราบว่าเพื่อนในกลุ่มมีอาวุธติดตัวไปด้วย และขณะเกิดเหตุลูกชายไม่ได้เป็นคนถือมีด