นับเป็นข่าวดังที่ฝ่ากระแสมหาวิกฤติอุทกภัย เมื่อกลุ่มโจรขับรถกระบะ 4 ประตู โตโยต้า รุ่น ไฮลักซ์ วีโก้บุกปล้นบ้านพักของ "นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม"ปลัดกระทรวงคมนาคม เลขที่ 77 ซอยลาดพร้าว 64 แยก 2 แขวงและเขตวังทองหลาง กรุงเทพฯ เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 12 พ.ย. ที่ผ่านมา
โดยบ้านเกิดเหตุลักษณะเป็นบ้าน 2 ชั้น จำนวน 2 หลัง ห่างกันประมาณ 100 เมตร โดยมีทางเดินปูนด้วยกระเบื้องเชื่อมกันบนพื้นดิน บนเนื้อที่ประมาณ 150 ตารางวา รั้วสูงประมาณ 2.5 เมตร โดยคนร้ายได้กวาดเอาทรัพย์สินซึ่งเป็นสินสอดไปกว่า 5 ล้านบาท และซองเงินที่คนไปร่วมงานแต่งงานของลูกสาวซึ่งยังไม่ทราบมีจำนวนเงินเท่าใด โดยที่ช่วงเกิดเหตุปลัดกระทรวงคมนาคม เจ้าของบ้าน พร้อมครอบครัวได้เดินทางไปร่วมฉลองมงคลสมรสของ น.ส.สุทธาวรรณ ทรัพย์ล้อม ลูกสาวตนเองที่จัดขึ้นที่โรงแรมพลาซ่าแอทธินี รอยัลเมอริเดียน ถนนวิทยุ
เหตุการณ์อุกอาจที่เกิดขึ้นใจกลางกรุงครั้งนี้ แหล่งข่าวจากชุดสืบสวน บช.น. เปิดเผยว่า คนร้ายเข้ามาก่อเหตุมีไม่ต่ำกว่า 8 คน ซึ่งภายในบ้านมีเพียงแม่บ้านอยู่เพียง 3 คน ขณะเกิดเหตุคนร้ายได้เข้ามา 5 คน แล้วจับแม่บ้านสองคนมัดมือข่มขู่ไม่ให้ส่งเสียงและบอกใคร ส่วนแม่บ้านอีกคนได้แอบอยู่ในห้องน้ำ ซึ่งเมื่อคนร้ายถามแม่บ้านที่ถูกจับมัดว่ามีใครอีกแม่บ้านที่ถูกจับก็บอกว่ามีแค่ 2 คนเท่านั้น
จากนั้นคนร้ายทั้ง 5 คนได้ใช้มีดจี้แม่บ้าน พร้อมจับมัดมือให้ขึ้นไปข้างบนชั้น 2 ของบ้าน แล้วใช้ชะแลงงัดเข้าไปภายในห้องนอนของปลัดกระทรวงคมนาคม ก่อนจะรื้อค้นเอาทรัพย์สิน และทิ้งคัตเตอร์ที่ใช้จี้แม่บ้านกับชะแลงที่ก่อเหตุทิ้งไว้ แล้ววิ่งขึ้นรถกระบะยี่ห้อโตโยต้า รุ่นวีโก้ 4 ประตู ไม่ทราบสีและทะเบียนหลบหนีไป ซึ่งน่าจะมีคนร้ายอีกอย่างน้อย 2 คนรออยู่ที่รถ
สำหรับคดีนี้ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ปฏิเสธที่จะให้ข้อมูลใด ๆ โดยบอกว่ายังไม่มีรายละเอียด ต้องรอให้เจ้าของบ้านตรวจสอบทรัพย์สินอีกครั้งว่ามีสิ่งใดหายไปบ้าง มีมูลค่าเท่าไหร่ ขณะเดียวกัน ภรรยาของปลัดกระทรวงคมนาคม ได้เคยพูดคุยกับผู้สื่อข่าวในลักษณะไม่อยากให้เรื่องนี้เผยแพร่เป็นข่าว พร้อมกับบอกว่าไม่มีอะไร เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องเข้าใจผิดเท่านั้น
ส่วน"นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม" ปลัดกระทรวงคมนาคมเอง หลังเกิดเหตุ คนใกล้ชิด เปิดเผยว่า ปลัดกระทรวงคมนาคมรู้สึกเครียดมาก จึงไม่อยากออกมาพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เพิ่มเติมอีก แต่จะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการสืบสวนติดตามจับกุมแก๊งปล้นรายนี้ ทั้งยังพร้อมให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในทุกเรื่องด้วย
อย่างไรก็ตาม คดีนี้ถือเป็นคดีใหญ่ที่มีการปล้นบ้านข้าราชการระดับสูงอย่างอุกอาจ แต่ก็เป็นคดีที่มีข้อน่าสงสัยหลายอย่าง ที่แตกต่างจากคดีทั่วไปที่เคยเกิดขึ้น
ประการแรกคือช่วงเวลาที่คนร้ายมาปลุกปล้นเป็นช่วงหัวค่ำ ซึ่งปกติเป็นช่วงเวลาที่คนส่วนใหญ่จะอยู่บ้าน และบ้านพักนายสุพจน์ ก็ถือเป็นบ้านหลังใหญ่น่าจะมีคนอยู่มาก โจรผู้ร้ายที่คิดจะลงมือน่าจะเป็นช่วงกลางวันที่ไม่มีคน หรือช่วงดึกที่ทุกคนหลับ กลับใช้คนจำนวนมากบุกเข้าปล้นในช่วงดังกล่าวอย่างย่ามใจ เหมือนทราบเป็นอย่างดีว่า ครอบครัวนายสุพจน์ ไปร่วมงานแต่งงานลูกสาวที่ย่านเพลินจิต ถนนวิทยุ เหลือเพียงแม่บ้านไม่กี่คนที่อยู่เฝ้าบ้าน ซึ่งหากไม่ติดตามข่าวมาเป็นเวลานาน ก็คงไม่รู้การเข้านอกออกในบ้านเป็นอย่างดีเช่นนี้ จนสามารถอาศัยช่วงเวลาดังกล่าวในการลงมือได้
ข้อน่าสงสัยอีกประการคือระบบรักษาความปลอดภัยต่างๆ ภายในบ้านทั้งระบบประตูไฟฟ้าเปิด-ปิด อัตโนมัติ กล้องวงจรปิด ภายในบ้านใช้การไม่ได้ประจวบเหมาะกับเวลาที่โจรกลุ่มนี้ลงมือ ซึ่งการสอบปากคำพยานที่เห็นเหตุการณ์ภายในบ้าน แม้จะระบุว่าส่วนที่ประตูรั้วก็มีการนำมอเตอร์ไฟฟ้าออกไป เนื่องจากป้องกันน้ำท่วม แต่บ้านของนายสุพจน์ น้ำยังไม่ท่วมคนร้ายทั่วไปไม่น่าทราบว่าระบบเหล่านี้ถูกนำออกไปหรือใช้การไม่ได้ ประกอบกับกล้องวงจรปิดก็มาเสียเอาตอนจำเป็น ยิ่งทำให้น่าสงสัยว่ากลุ่มคนร้ายรู้เรื่องเหล่านี้หรือไม่ หากรู้นั้น รู้ได้อย่างไรเพราะเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญ หรือหากเป็นความบังเอิญคนร้ายเหล่านี้ก็ถือว่าดวงเฮงอย่างมาก
ซึ่งข้อสงสัยต่างๆ เหล่านี้เป็นจุดใหญ่ที่แม้แต่คนทั่วไปเมื่ออ่านข่าวก็ต้องเกิดความสงสัยเพราะมีสิ่งผิดปกติหลายอย่างที่เห็นชัด ซึ่งยังไม่รวมเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่นการไม่ยอมออกมาให้ข่าวของผู้เสียหายเอง เพราะถึงขณะนี้แม้ไม่อยากเป็นข่าวแต่ขึ้นหน้าหนึ่งทุกฉบับ อีกทั้งเงินที่หายก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ
จากข้อสงสัยข้างต้นที่กล่าวมา สุดท้ายหลังเวลาผ่านไป 6 วันเต็มๆการทำงานของทีมสืบสวนก็ประสบความสำเร็จ เมื่อสามารถจับกุมกลุ่มคนร้ายได้รวม 2 คน ประกอบด้วย นายสิงห์ทอง หรือไก่ ใจชมชื่น อายุ 44 ปี ที่อยู่ 135/46 ตรอกอาคาร7 แขวงและเขตคลองเตย กทม. และนายเสาร์แก้ว หรือแก้ว นามวงศ์ อายุ 59 ปี ที่อยู่ 238 ม.7 ต.แม่ข้าวต้ม อ.เมือง จ.เชียงราย ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญา ในข้อหาร่วมกันปล้นทรัพย์ฯ พร้อมของกลางเงินสด 2,822,000 บาท สร้อยคอทองคำหนัก 5 บาท จำนวน 2 เส้น อุปกรณ์ตัดสัญญาณโทรศัพท์มือถือ เครื่องช็อตไฟฟ้า 3 อัน โทรศัพท์มือถือ 3 เครื่อง โดยจับกุมนายสิงห์ทอง ได้ที่ห้องพักย่านคลองตัน และจับกุมนายเสาร์แก้ว ได้ที่บ้านพัก จ.เชียงราย
พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา รอง ผบ.ตร.กล่าวในการแถลงข่าวว่า หลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ กก.สส.บช.น. ได้รวบรวมพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุประกอบกับการตรวจสอบกล้องวงจรปิดพบว่า รถกระบะวีโก้ 4 ประตู ขับออกจากที่เกิดเหตุมุ่งหน้าไปยังถนนเลียบทางด่วนรามอินทรา และต่อมาได้มีประชาชนได้แจ้งเบาะแสว่าพบบุคคลต้องสงสัยซึ่งมีพฤติกรรมการใช้เงินเปลี่ยนไปโดยร่ำรวยผิดปกติ เจ้าหน้าที่สืบสวนพบว่าเป็นนายสิงห์ทอง จึงได้เชิญตัวมาสอบสวนซึ่งพบพิรุธหลายอย่างและไม่สามารถชี้แจงที่มาของเงินได้ จนกระทั่งยอมรับสารภาพว่าได้ร่วมกับพรรคพวกรวม 6 คน ก่อเหตุปล้นทรัพย์ดังกล่าวจริง โดยมีนายวีระศักดิ์ หรือ โก้ เชื่อลี อายุ 36 ปี อยู่ที่ 260 หมู่2 ต.แชะ อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา เป็นหัวหน้าแก๊ง นายเสาร์แก้ว นามวงศ์ อายุ 59 ปี นายพงษ์ศักดิ์ หรือ เจี๊ยบ นามวงศ์ อายุ 35 ปี ที่อยู่ 238 ม.7 ต.แม่ข้าวต้ม อ.เมือง จ.เชียงราย นายสมบูรณ์ หรือบูรณ์ ริยะเทน อายุ 40 ปี ที่อยู่ 40 ม.5 ต.ท่าข้าวเปลือก อ.แม่จัน จ.เชียงราย และนายคำนวณ หรือนวน เมฆน้อย อายุ 38 ปี อยู่ที่ 449 ม.9 ต.หินเหล็กไฟ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ร่วมกระทำผิดด้วย
สำหรับปฎิบัติการณ์ปล้นครั้งนี้ พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ กล่าวว่า คนร้ายได้ร่วมวางแผนมาหลายเดือนแล้ว มีการวนมาดูบ้านที่เกิดเหตุหลายรอบแต่ยังไม่กล้าลงมือ ต่อมานายวีระศักดิ์ ได้ติดต่อมาว่าเตรียมอุปกรณ์ในการลงมือครบถ้วนแล้ว พร้อมที่จะลงมือได้โดยมีการใช้เครื่องตัดสัญญาณโทรศัพท์มือถือ เครื่องสัญญาณกล้องวงจรปิด เครื่องตัดสัญญาณประตูเลื่อนหน้าบ้าน หมวกไอ้โม่งไหมพรมสีดำ ถุงมือสีดำ เครื่องช็อตไฟฟ้า วิทยุสื่อสาร ชะแลงเหล็ก ในการลงมือ ในวันเกิดเหตุนายวีระศักดิ์ ได้ขับรถกระบะวีโก้ 4 ประตู สีบรอนท์ทอง ทะเบียน กฉ 1166 กาญจนบุรี มารับนายสิงห์ทอง กับพวกที่เหลืออยู่ ในห้องพักของนายสิงห์ทอง จากนั้นนายวีระศักดิ์ ได้ขับรถมายังหน้าบ้านที่เกิดเหตุ จากนั้นได้เปิดเครื่องตัดสัญญาณทั้งหมดและให้นายสิงห์ทอง ลงไปเปิดประตูรั้ว จากนั้นเข้าไปจับแม่บ้าน 2 คน มาอยู่ในห้องครัวมัดมือแล้วพานำขึ้นไปในห้องนอนแล้วเปิดตู้เสื้อผ้ากรีดกระเป๋าเอาเงินใส่กระสอบที่เตรียมมา จากนั้นก็ขึ้นรถกระบะหลบหนีไป
พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ กล่าวอีกว่า วันที่ 16 พ.ย. เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจึงรวบรวมพยานหลักฐานส่งพนักงานสอบสวนขอออกหมายจับคนร้ายทั้ง 6 ในข้อหาร่วมกันปล้นทรัพย์ฯก่อนจับกุมนายสิงห์ทอง ได้ที่ห้องพักย่านคลองตัน พร้อมของกลางเงินสด 500,000 บาท สร้อยทองหนัก 5 บาท 2 เส้น รวมมูลค่า 760,000 บาท และขยายผลจับกุมนายเสาร์แก้ว ได้ที่บ้านพัก จ. เชียงราย พร้อมของกลางเงินสด 1,050,000 บาท โดยนายเสาร์แก้ว ให้การรับสารภาพว่าได้ส่วนแบ่งจากการปล้นครั้งนี้กว่า 1 ล้านบาท จึงนำตัวส่งพนักงานสอบสวนพร้อมของกลางส่งดำเนินคดี ส่วนผู้ต้องหาที่เหลืออยู่ 4 คน ได้จะรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อติดตามจับกุมต่อไป นอกจากนี้จากการตรวจสอบประวัตินายเสาร์แก้ว นามวงศ์ อายุ 59 ปี เคยมีประวัติคดีปล้นทรัพย์ที่จังหวัดเชียงราย เมื่อปี 2525 และถูกศาลตัดสินจำคุก 5 ปี
จากการสอบสวนนายสิงห์ทอง ให้การรับสารภาพว่า ได้วางแผนพร้อมกับดูลาดเลามานานประมาณ 1 ปี แล้ว โดยมีนายวีระศักดิ์ เป็นหัวหน้าแก๊ง ซึ่งทราบข่าวว่าที่บ้านหลังดังกล่าวมีเงินสดเก็บอยู่เป็นจำนวนมาก
“ก่อนลงมือได้ให้นายคำนวณ เช่าอพาร์ทเมนต์รายวันชั้นสูงสุดที่ใกล้เคียงบ้านที่เกิดเหตุคอยดูความเคลื่อนไหวของคนในบ้าน ก่อนจะตัดสินใจลงมือปล้น เบื้องต้นเงินที่พวกตนได้มาทั้งหมดกว่า 200 ล้านบาท โดยเบื้องต้นนายวีระศักดิ์ได้ให้เงินจำนวน 15 ล้านบาท มาแบ่งกันใช้ไปก่อน ส่วนเงินสดที่เหลือ นายวีระศักดิ์ เป็นคนเก็บไว้ แล้วจะนำมาแบ่งกันภายหลัง โดยตกลงกันว่าเงินที่ได้มาทั้งหมด 50 เปอร์เซ็นต์ แบ่งให้ลูกพี่ของนายวีระศักดิ์ ซึ่งเป็นข้าราชการ ส่วน 30 เปอร์เซ็นต์ เป็นของนายวีระศักดิ์ อีก 20 เปอร์เซ็นต์แบ่งพวกตนที่เหลือ ส่วนภายในบ้านที่เกิดเหตุพบเงินสดซุกซ่อนอยู่ในกระเป๋าต่างๆรวมประมาณ 700-1,000 ล้านบาท ส่วนเหตุที่ตนได้เข้าปล้นครั้งนี้ ทราบมาว่าเป็นเงินที่ได้มาโดยมิชอบ”นายสิงห์ทอง กล่าว
รายงานข่าวแจ้งว่า ส่วนผู้ต้องหาที่หลบหนีอีก 4 ราย นั้น นายวีระศักดิ์ หลบหนีอยู่ที่จังหวัดนครพนนม นายคำนวณ หลบหนีอยู่ที่ชายแดนประเทศลาว ส่วนนายสมบูรณ์และนายพงษ์ศักดิ์ หลบหนีอยู่ที่ จ.เชียงราย ซึ่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนกำลังอยู่ระหว่างเร่งติดตามตัวมาดำเนินคดี
คดีปล้นบ้านปลัดคมนาคม ครั้งนี้ แน่นอนจะต้องมีการสืบสาวต่อไปว่า เงินในบ้านจำนวนมหาศาล ท่านปลัดได้มาจากที่ใด และ ทำไมจึงเก็บเงินจำนวนมากเช่นนั้นไว้ โดยไม่นำไปฝากธนาคาร อีกทั้ง หลังเกิดเหตุ ผู้เสียหายก็พยายามปิดข่าว โดยบอกว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด ดังนั้น คดีปล้นปริศนาคดีนี้ ถือเป็นคดีที่น่าติดตาม!!!
โดยบ้านเกิดเหตุลักษณะเป็นบ้าน 2 ชั้น จำนวน 2 หลัง ห่างกันประมาณ 100 เมตร โดยมีทางเดินปูนด้วยกระเบื้องเชื่อมกันบนพื้นดิน บนเนื้อที่ประมาณ 150 ตารางวา รั้วสูงประมาณ 2.5 เมตร โดยคนร้ายได้กวาดเอาทรัพย์สินซึ่งเป็นสินสอดไปกว่า 5 ล้านบาท และซองเงินที่คนไปร่วมงานแต่งงานของลูกสาวซึ่งยังไม่ทราบมีจำนวนเงินเท่าใด โดยที่ช่วงเกิดเหตุปลัดกระทรวงคมนาคม เจ้าของบ้าน พร้อมครอบครัวได้เดินทางไปร่วมฉลองมงคลสมรสของ น.ส.สุทธาวรรณ ทรัพย์ล้อม ลูกสาวตนเองที่จัดขึ้นที่โรงแรมพลาซ่าแอทธินี รอยัลเมอริเดียน ถนนวิทยุ
เหตุการณ์อุกอาจที่เกิดขึ้นใจกลางกรุงครั้งนี้ แหล่งข่าวจากชุดสืบสวน บช.น. เปิดเผยว่า คนร้ายเข้ามาก่อเหตุมีไม่ต่ำกว่า 8 คน ซึ่งภายในบ้านมีเพียงแม่บ้านอยู่เพียง 3 คน ขณะเกิดเหตุคนร้ายได้เข้ามา 5 คน แล้วจับแม่บ้านสองคนมัดมือข่มขู่ไม่ให้ส่งเสียงและบอกใคร ส่วนแม่บ้านอีกคนได้แอบอยู่ในห้องน้ำ ซึ่งเมื่อคนร้ายถามแม่บ้านที่ถูกจับมัดว่ามีใครอีกแม่บ้านที่ถูกจับก็บอกว่ามีแค่ 2 คนเท่านั้น
จากนั้นคนร้ายทั้ง 5 คนได้ใช้มีดจี้แม่บ้าน พร้อมจับมัดมือให้ขึ้นไปข้างบนชั้น 2 ของบ้าน แล้วใช้ชะแลงงัดเข้าไปภายในห้องนอนของปลัดกระทรวงคมนาคม ก่อนจะรื้อค้นเอาทรัพย์สิน และทิ้งคัตเตอร์ที่ใช้จี้แม่บ้านกับชะแลงที่ก่อเหตุทิ้งไว้ แล้ววิ่งขึ้นรถกระบะยี่ห้อโตโยต้า รุ่นวีโก้ 4 ประตู ไม่ทราบสีและทะเบียนหลบหนีไป ซึ่งน่าจะมีคนร้ายอีกอย่างน้อย 2 คนรออยู่ที่รถ
สำหรับคดีนี้ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ปฏิเสธที่จะให้ข้อมูลใด ๆ โดยบอกว่ายังไม่มีรายละเอียด ต้องรอให้เจ้าของบ้านตรวจสอบทรัพย์สินอีกครั้งว่ามีสิ่งใดหายไปบ้าง มีมูลค่าเท่าไหร่ ขณะเดียวกัน ภรรยาของปลัดกระทรวงคมนาคม ได้เคยพูดคุยกับผู้สื่อข่าวในลักษณะไม่อยากให้เรื่องนี้เผยแพร่เป็นข่าว พร้อมกับบอกว่าไม่มีอะไร เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องเข้าใจผิดเท่านั้น
ส่วน"นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม" ปลัดกระทรวงคมนาคมเอง หลังเกิดเหตุ คนใกล้ชิด เปิดเผยว่า ปลัดกระทรวงคมนาคมรู้สึกเครียดมาก จึงไม่อยากออกมาพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เพิ่มเติมอีก แต่จะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการสืบสวนติดตามจับกุมแก๊งปล้นรายนี้ ทั้งยังพร้อมให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในทุกเรื่องด้วย
อย่างไรก็ตาม คดีนี้ถือเป็นคดีใหญ่ที่มีการปล้นบ้านข้าราชการระดับสูงอย่างอุกอาจ แต่ก็เป็นคดีที่มีข้อน่าสงสัยหลายอย่าง ที่แตกต่างจากคดีทั่วไปที่เคยเกิดขึ้น
ประการแรกคือช่วงเวลาที่คนร้ายมาปลุกปล้นเป็นช่วงหัวค่ำ ซึ่งปกติเป็นช่วงเวลาที่คนส่วนใหญ่จะอยู่บ้าน และบ้านพักนายสุพจน์ ก็ถือเป็นบ้านหลังใหญ่น่าจะมีคนอยู่มาก โจรผู้ร้ายที่คิดจะลงมือน่าจะเป็นช่วงกลางวันที่ไม่มีคน หรือช่วงดึกที่ทุกคนหลับ กลับใช้คนจำนวนมากบุกเข้าปล้นในช่วงดังกล่าวอย่างย่ามใจ เหมือนทราบเป็นอย่างดีว่า ครอบครัวนายสุพจน์ ไปร่วมงานแต่งงานลูกสาวที่ย่านเพลินจิต ถนนวิทยุ เหลือเพียงแม่บ้านไม่กี่คนที่อยู่เฝ้าบ้าน ซึ่งหากไม่ติดตามข่าวมาเป็นเวลานาน ก็คงไม่รู้การเข้านอกออกในบ้านเป็นอย่างดีเช่นนี้ จนสามารถอาศัยช่วงเวลาดังกล่าวในการลงมือได้
ข้อน่าสงสัยอีกประการคือระบบรักษาความปลอดภัยต่างๆ ภายในบ้านทั้งระบบประตูไฟฟ้าเปิด-ปิด อัตโนมัติ กล้องวงจรปิด ภายในบ้านใช้การไม่ได้ประจวบเหมาะกับเวลาที่โจรกลุ่มนี้ลงมือ ซึ่งการสอบปากคำพยานที่เห็นเหตุการณ์ภายในบ้าน แม้จะระบุว่าส่วนที่ประตูรั้วก็มีการนำมอเตอร์ไฟฟ้าออกไป เนื่องจากป้องกันน้ำท่วม แต่บ้านของนายสุพจน์ น้ำยังไม่ท่วมคนร้ายทั่วไปไม่น่าทราบว่าระบบเหล่านี้ถูกนำออกไปหรือใช้การไม่ได้ ประกอบกับกล้องวงจรปิดก็มาเสียเอาตอนจำเป็น ยิ่งทำให้น่าสงสัยว่ากลุ่มคนร้ายรู้เรื่องเหล่านี้หรือไม่ หากรู้นั้น รู้ได้อย่างไรเพราะเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญ หรือหากเป็นความบังเอิญคนร้ายเหล่านี้ก็ถือว่าดวงเฮงอย่างมาก
ซึ่งข้อสงสัยต่างๆ เหล่านี้เป็นจุดใหญ่ที่แม้แต่คนทั่วไปเมื่ออ่านข่าวก็ต้องเกิดความสงสัยเพราะมีสิ่งผิดปกติหลายอย่างที่เห็นชัด ซึ่งยังไม่รวมเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่นการไม่ยอมออกมาให้ข่าวของผู้เสียหายเอง เพราะถึงขณะนี้แม้ไม่อยากเป็นข่าวแต่ขึ้นหน้าหนึ่งทุกฉบับ อีกทั้งเงินที่หายก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ
จากข้อสงสัยข้างต้นที่กล่าวมา สุดท้ายหลังเวลาผ่านไป 6 วันเต็มๆการทำงานของทีมสืบสวนก็ประสบความสำเร็จ เมื่อสามารถจับกุมกลุ่มคนร้ายได้รวม 2 คน ประกอบด้วย นายสิงห์ทอง หรือไก่ ใจชมชื่น อายุ 44 ปี ที่อยู่ 135/46 ตรอกอาคาร7 แขวงและเขตคลองเตย กทม. และนายเสาร์แก้ว หรือแก้ว นามวงศ์ อายุ 59 ปี ที่อยู่ 238 ม.7 ต.แม่ข้าวต้ม อ.เมือง จ.เชียงราย ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญา ในข้อหาร่วมกันปล้นทรัพย์ฯ พร้อมของกลางเงินสด 2,822,000 บาท สร้อยคอทองคำหนัก 5 บาท จำนวน 2 เส้น อุปกรณ์ตัดสัญญาณโทรศัพท์มือถือ เครื่องช็อตไฟฟ้า 3 อัน โทรศัพท์มือถือ 3 เครื่อง โดยจับกุมนายสิงห์ทอง ได้ที่ห้องพักย่านคลองตัน และจับกุมนายเสาร์แก้ว ได้ที่บ้านพัก จ.เชียงราย
พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา รอง ผบ.ตร.กล่าวในการแถลงข่าวว่า หลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ กก.สส.บช.น. ได้รวบรวมพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุประกอบกับการตรวจสอบกล้องวงจรปิดพบว่า รถกระบะวีโก้ 4 ประตู ขับออกจากที่เกิดเหตุมุ่งหน้าไปยังถนนเลียบทางด่วนรามอินทรา และต่อมาได้มีประชาชนได้แจ้งเบาะแสว่าพบบุคคลต้องสงสัยซึ่งมีพฤติกรรมการใช้เงินเปลี่ยนไปโดยร่ำรวยผิดปกติ เจ้าหน้าที่สืบสวนพบว่าเป็นนายสิงห์ทอง จึงได้เชิญตัวมาสอบสวนซึ่งพบพิรุธหลายอย่างและไม่สามารถชี้แจงที่มาของเงินได้ จนกระทั่งยอมรับสารภาพว่าได้ร่วมกับพรรคพวกรวม 6 คน ก่อเหตุปล้นทรัพย์ดังกล่าวจริง โดยมีนายวีระศักดิ์ หรือ โก้ เชื่อลี อายุ 36 ปี อยู่ที่ 260 หมู่2 ต.แชะ อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา เป็นหัวหน้าแก๊ง นายเสาร์แก้ว นามวงศ์ อายุ 59 ปี นายพงษ์ศักดิ์ หรือ เจี๊ยบ นามวงศ์ อายุ 35 ปี ที่อยู่ 238 ม.7 ต.แม่ข้าวต้ม อ.เมือง จ.เชียงราย นายสมบูรณ์ หรือบูรณ์ ริยะเทน อายุ 40 ปี ที่อยู่ 40 ม.5 ต.ท่าข้าวเปลือก อ.แม่จัน จ.เชียงราย และนายคำนวณ หรือนวน เมฆน้อย อายุ 38 ปี อยู่ที่ 449 ม.9 ต.หินเหล็กไฟ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ร่วมกระทำผิดด้วย
สำหรับปฎิบัติการณ์ปล้นครั้งนี้ พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ กล่าวว่า คนร้ายได้ร่วมวางแผนมาหลายเดือนแล้ว มีการวนมาดูบ้านที่เกิดเหตุหลายรอบแต่ยังไม่กล้าลงมือ ต่อมานายวีระศักดิ์ ได้ติดต่อมาว่าเตรียมอุปกรณ์ในการลงมือครบถ้วนแล้ว พร้อมที่จะลงมือได้โดยมีการใช้เครื่องตัดสัญญาณโทรศัพท์มือถือ เครื่องสัญญาณกล้องวงจรปิด เครื่องตัดสัญญาณประตูเลื่อนหน้าบ้าน หมวกไอ้โม่งไหมพรมสีดำ ถุงมือสีดำ เครื่องช็อตไฟฟ้า วิทยุสื่อสาร ชะแลงเหล็ก ในการลงมือ ในวันเกิดเหตุนายวีระศักดิ์ ได้ขับรถกระบะวีโก้ 4 ประตู สีบรอนท์ทอง ทะเบียน กฉ 1166 กาญจนบุรี มารับนายสิงห์ทอง กับพวกที่เหลืออยู่ ในห้องพักของนายสิงห์ทอง จากนั้นนายวีระศักดิ์ ได้ขับรถมายังหน้าบ้านที่เกิดเหตุ จากนั้นได้เปิดเครื่องตัดสัญญาณทั้งหมดและให้นายสิงห์ทอง ลงไปเปิดประตูรั้ว จากนั้นเข้าไปจับแม่บ้าน 2 คน มาอยู่ในห้องครัวมัดมือแล้วพานำขึ้นไปในห้องนอนแล้วเปิดตู้เสื้อผ้ากรีดกระเป๋าเอาเงินใส่กระสอบที่เตรียมมา จากนั้นก็ขึ้นรถกระบะหลบหนีไป
พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ กล่าวอีกว่า วันที่ 16 พ.ย. เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจึงรวบรวมพยานหลักฐานส่งพนักงานสอบสวนขอออกหมายจับคนร้ายทั้ง 6 ในข้อหาร่วมกันปล้นทรัพย์ฯก่อนจับกุมนายสิงห์ทอง ได้ที่ห้องพักย่านคลองตัน พร้อมของกลางเงินสด 500,000 บาท สร้อยทองหนัก 5 บาท 2 เส้น รวมมูลค่า 760,000 บาท และขยายผลจับกุมนายเสาร์แก้ว ได้ที่บ้านพัก จ. เชียงราย พร้อมของกลางเงินสด 1,050,000 บาท โดยนายเสาร์แก้ว ให้การรับสารภาพว่าได้ส่วนแบ่งจากการปล้นครั้งนี้กว่า 1 ล้านบาท จึงนำตัวส่งพนักงานสอบสวนพร้อมของกลางส่งดำเนินคดี ส่วนผู้ต้องหาที่เหลืออยู่ 4 คน ได้จะรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อติดตามจับกุมต่อไป นอกจากนี้จากการตรวจสอบประวัตินายเสาร์แก้ว นามวงศ์ อายุ 59 ปี เคยมีประวัติคดีปล้นทรัพย์ที่จังหวัดเชียงราย เมื่อปี 2525 และถูกศาลตัดสินจำคุก 5 ปี
จากการสอบสวนนายสิงห์ทอง ให้การรับสารภาพว่า ได้วางแผนพร้อมกับดูลาดเลามานานประมาณ 1 ปี แล้ว โดยมีนายวีระศักดิ์ เป็นหัวหน้าแก๊ง ซึ่งทราบข่าวว่าที่บ้านหลังดังกล่าวมีเงินสดเก็บอยู่เป็นจำนวนมาก
“ก่อนลงมือได้ให้นายคำนวณ เช่าอพาร์ทเมนต์รายวันชั้นสูงสุดที่ใกล้เคียงบ้านที่เกิดเหตุคอยดูความเคลื่อนไหวของคนในบ้าน ก่อนจะตัดสินใจลงมือปล้น เบื้องต้นเงินที่พวกตนได้มาทั้งหมดกว่า 200 ล้านบาท โดยเบื้องต้นนายวีระศักดิ์ได้ให้เงินจำนวน 15 ล้านบาท มาแบ่งกันใช้ไปก่อน ส่วนเงินสดที่เหลือ นายวีระศักดิ์ เป็นคนเก็บไว้ แล้วจะนำมาแบ่งกันภายหลัง โดยตกลงกันว่าเงินที่ได้มาทั้งหมด 50 เปอร์เซ็นต์ แบ่งให้ลูกพี่ของนายวีระศักดิ์ ซึ่งเป็นข้าราชการ ส่วน 30 เปอร์เซ็นต์ เป็นของนายวีระศักดิ์ อีก 20 เปอร์เซ็นต์แบ่งพวกตนที่เหลือ ส่วนภายในบ้านที่เกิดเหตุพบเงินสดซุกซ่อนอยู่ในกระเป๋าต่างๆรวมประมาณ 700-1,000 ล้านบาท ส่วนเหตุที่ตนได้เข้าปล้นครั้งนี้ ทราบมาว่าเป็นเงินที่ได้มาโดยมิชอบ”นายสิงห์ทอง กล่าว
รายงานข่าวแจ้งว่า ส่วนผู้ต้องหาที่หลบหนีอีก 4 ราย นั้น นายวีระศักดิ์ หลบหนีอยู่ที่จังหวัดนครพนนม นายคำนวณ หลบหนีอยู่ที่ชายแดนประเทศลาว ส่วนนายสมบูรณ์และนายพงษ์ศักดิ์ หลบหนีอยู่ที่ จ.เชียงราย ซึ่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนกำลังอยู่ระหว่างเร่งติดตามตัวมาดำเนินคดี
คดีปล้นบ้านปลัดคมนาคม ครั้งนี้ แน่นอนจะต้องมีการสืบสาวต่อไปว่า เงินในบ้านจำนวนมหาศาล ท่านปลัดได้มาจากที่ใด และ ทำไมจึงเก็บเงินจำนวนมากเช่นนั้นไว้ โดยไม่นำไปฝากธนาคาร อีกทั้ง หลังเกิดเหตุ ผู้เสียหายก็พยายามปิดข่าว โดยบอกว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด ดังนั้น คดีปล้นปริศนาคดีนี้ ถือเป็นคดีที่น่าติดตาม!!!