ศาลสั่งจำคุก 5 ปี แม่เล้าหลอกลวงสาวไทยไปค้าประเวณีที่บาห์เรน โดยสั่งให้คนเฝ้าระวังไม่ให้เหยื่อหลบหนี หากต้องการเป็นอิสระต้องนำเงินมาให้คนละ 50,000 บาท
ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันนี้ (3 พ.ย.) ศาลอ่านคำพิพากษาคดีค้าประเวณีข้ามชาติ อ.1561/53 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 4 เป็นโจทก์ฟ้อง นายชัยธวัช หรือ โรจน์ ขำวงษ์ ชาว จ.พิจิตร และ นางวิมพ์วิภา หรือกลอย เติมวิรุฬพงค์ ชาว กทม.ทั้งสองอายุ 52 ปี ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-2 ตามลำดับในความผิดฐาน ร่วมกับพวกตั้งแต่ 3 คนขึ้นไปกระทำการค้ามนุษย์ เป็นธุระจัดหาไปเพื่อการค้าประเวณี, หน่วงเหนี่ยวกักขัง ฯลฯ อัยการโจทก์ระบุฟ้องเมื่อวันที่ 11 พ.ค.53 สรุปว่า
เมื่อระหว่างวันที่ 10 พ.ย.-22 ธ.ค.53 จำเลยกับพวกอีกหลายคนที่ยังหลบหนี ได้ร่วมกันตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป หลอกลวง น.ส.หนิง อายุ 26 ปี และ น.ส.แนน อายุ 20 ปี (นามสมมติ) ผู้เสียหาย ชาว จ.นครราชสีมา ให้ไปทำงานเป็นหมอนวดสปาในโรงแรมที่ประเทศบาห์เรน โดยไม่ต้องค้าประเวณี ซึ่งจะมีรายได้สัปดาห์ละ 1-2 แสนบาท จนผู้เสียหายหลงเชื่อ แต่ความจริงแล้วจำเลยมีเจตนา และบีบบังคับให้ผู้เสียหายไปค้าประเวณี เพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น และเพื่อประโยชน์ของตนเองโดยทุจริตเหตุเกิดที่ อ.เมือง จ.นครราชสีมา และ ประเทศบาห์เรน เกี่ยวพันกัน
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธอ้างว่า ไม่เคยรู้จักกับผู้เสียหายมาก่อน อย่างไรก็ตาม ระหว่างการพิจารณา นายชัยธวัช จำเลยที่ 1 ซึ่งได้รับการปล่อยชั่วคราวได้หลบหนีไป ศาลจึงมีคำสั่งให้ออกหมายจับ และจำหน่ายคดีออกจากสารบบความชั่วคราวเฉพาะจำเลยที่ 1 เท่านั้น
ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานของทั้งสองฝ่ายที่นำสืบหักล้างกันแล้ว ฝ่ายโจทก์มีผู้เสียหายทั้งสองคนเบิกความยืนยันในทำนองเดียวกันว่า จำเลยได้ยึดหนังสือเดินทาง และ และบังคับให้ค้าประเวณีกับชายชาวบาห์เรนหลายครั้งหลายหน และสั่งให้คนเฝ้าระวังไม่ให้หลบหนี หากต้องการเป็นอิสระต้องนำเงินมาให้คนละ 50,000 บาท ระหว่างนั้นผู้เสียหายได้แอบโทรศัพท์ติดต่อเจ้าหน้าที่กงสุลไทยประจำประเทศบาห์เรน ช่วยเหลือจนสามารถเดินทางกลับประเทศไทย และเข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ (ปคม.) ติดตามจับกุมจำเลยดำเนินคดี
ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยที่ 2 กระทำผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2539 เป็นความผิดกรรมเดียว
พิพากษาลงโทษฐานเป็นธุระจัดหาหรือพาไปเพื่อการอนาจาร และเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่นโดยใช้อุบายหลอกลวง หรือใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 วรรคแรก อันเป็นบทหนักสุด จำคุก 5 ปี