00...และแล้วก็เป็นไปตามที่หลายคนคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าว่า"คดีโกงภาษีชินฯ"ที่(นายหญิง)"พจมาน ณ ป้อมเพชร"อดีตภริยา"ทักษิณ ชินวัตร"(นายใหญ่)พร้อมด้วย "กาญจนาภา หงส์เหิน"เลขานุการคู่ใจ และ"บรรณพจน์ ดามาพงศ์"พี่ชายบุญธรรม จะต้องหลุดคดีในชั้นศาลอุทธรณ์อย่างแน่นอน!!
หลังจากที่จำเลยทั้งสาม ศาลชั้นต้นได้พิพากษาว่า ได้กระทำความผิดขั้นร้ายแรง พิพากษาจำคุก"บรรณพจน์-พจมาน"คนละ 3 ปี ส่วนเลขาคู่ใจ จำคุก 2 ปี
คดีนี้ฝ่ายโจทก์ และ จำเลย ได้ต่อสู้พิสูจน์ความจริงในศาลอุทธรณ์มาเป็นเวลาร่วม 3 ปีเต็ม โดย 3 ปีในอดีต ถือเป็นช่วงเวลาที่"นช.ทักษิณ ชินวัตร"กำลังถูกล่าตัว และเขายังไม่สามารถยึดคืนประเทศไทยได้แบบเบ็ตเสร็จ
ขณะที่ในห้วงการหาเสียงเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทย มี 2 นายหญิงในประเทศไทย คือ"พจมาน ณ ป้อมเพชร และ เยาวภา วงศ์สวัสดิ์"ถูกกล่าวขานมากที่สุดโดยสื่อหลายสำนัก ต่างฟันธงตรงกันว่า บุคคลทั้ง 2 คือ ผู้กำหนดเกมส์การเมืองภายในประเทศ โดยมี"ทักษิณ ชินวัตร"คือ 1 นักโทษชายผู้ยิ่งใหญ่นอกประเทศ เป็นผู้ชี้ทางแห่งชัยชนะ ภายใต้โจทย์ หนุนส่ง"ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร"โคลนนิ่งขึ้นแท่นนายกรัฐมนตรี(หุ่น)ให้ได้
00...นอกจากนั้นหลังพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งและได้เป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล (นายหญิง)"พจมาน"ก็ถูกกล่าวถึงมากยิ่งขึ้น...ด้วยเหตุที่เขาคือ ผู้เลือกตัวบุคคลที่จะมานั่ง "ครม.ปู 1"ก่อนส่งต่อให้"ทักษิณ"อดีตสามี เคาะเป็นคนสุดท้าย!
"ทักษิณ ชินวัตร"เขาพูดอยู่เสมอว่า ...เขาไม่ผิด แต่กฎหมายเขียนไว้ผิด...รวมทั้งเขาได้ขอความยุติธรรมให้กับตัวเขา ในโอกาสที่ ปาฐกถาพิเศษในหัวข้อประชาธิปไตยในประเทศไทย ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ณ ประเทศญี่ปุ่น เมื่อเร็วๆนี้
โดยวันนั้น ประเด็นสำคัญที่"ทักษิณ ชินวัตร"พูดถึงคือการเสนอแนวคิด 4 เสาหลักในการพัฒนาไทยสู่ประเทศสมัยใหม่ นั่นคือ "ประชาธิปไตย กฎหมายดี เสรีภาพความคิดเห็น และเศรษฐกิจดี" โดยนักโทษชายผู้นี้ อ้างว่าประชาธิปไตย ที่ปราศจากหลักนิติธรรม จะก่อให้เกิดความไร้เสถียรภาพและไร้ทิศทางที่ต่อเนื่องของประเทศ พร้อมเรียกร้องให้ประเทศไทยมีการปฎิรูปกฎหมาย ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล และเป็นหน้าที่ของรัฐบาลชุดใหม่ ในการค้นหาความจริง กรณีช่างภาพญี่ปุ่นถูกยิงเสียชีวิต รวมทั้งคนเสื้อแดงที่เสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก โดยที่ผู้สั่งการของทุกหน่วยงาน ในเหตุการณ์สลายการชุมนุม จะต้องมีส่วนรับผิดชอบ
00...24 สิงหาคม พ.ศ.2554 ถือเป็นวันที่ต้องจารึกไว้อีกครั้งว่า "คดีภาษีชิน"ที่(นายหญิง)ผู้มีอำนาจ เป็นจำเลยในคดี เขาคือ ผู้กำชัยชนะ หลังศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง...พลิกคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ชนิดตีความตัวบทกฎหมายจาก"หน้ามือ เป็น หลังมือ"
กล่าวคือ...31 ก.ค.51 ศาลชั้นต้นตัดสินว่า..."จำเลยทั้งสามเป็นผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะกระทำผิดฐานให้ถ้อยคำอันเป็นเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีอากร จำเลยที่ 2 เป็นภริยาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับผู้บริหารประเทศ จำเลยทั้งสามจึงนอกจากมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตนเยี่ยงพลเมืองดีทั่วๆ ไปแล้ว ยังควรดำรงตนให้เป็นตัวอย่างที่ดีสมฐานะทางเศรษฐกิจ และสังคมด้วย แต่จำเลยทั้งสามกลับร่วมกันกระทำการหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร อันเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ไม่เป็นธรรมต่อสังคมและระบบภาษี ทั้งๆ ที่จำนวนภาษีอากรที่จำเลยที่ 1 จะต้องชำระตามกฎหมาย และจำเลยที่ 2 จะเป็นผู้ชำระแทนในที่สุดนั้น เทียบไม่ได้กับจำนวนทรัพย์สินที่จำเลยที่ 2 และครอบครัวมีอยู่ในขณะนั้น การที่จำเลยที่ 1 จะชำระภาษีอากรไปตามกฎหมายเช่นพลเมืองดีทุกคน จึงมิได้มีผลกระทำต่อฐานะของจำเลยที่ 2 แต่อย่างใด การกระทำความผิดของจำเลยทั้งสามจึงร้ายแรง จึงพิพากษาให้จำคุกนายบรรณพจน์ จำเลยที่ 1 และคุณหญิงพจมาน จำเลยที่ 2 ตามประมวลรัษฎากร ม.37 (1) (2) จำคุกคนละ 3 ปี และให้จำคุกนางกาญจนาภา เลขานุการส่วนตัวคุณหญิงพจมาน จำเลยที่ 3 เป็นเวลา 2 ปี"
แต่พอ 3 ปีให้หลัง ในยุครัฐบาลโคลนนิ่งทักษิณ ศาลอุทธรณ์ กลับเกิดประเด็นข้อสงสัยของในส่วน คุณหญิงพจมาน จำเลยที่ 2 กับนางกาญจนาภา จำเลยที่ 3 ว่าผิดฐานหลีกเลี่ยงภาษีหุ้นหรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลย แก้โทษจากจำคุก 3 ปี เป็นให้ยกฟ้อง ส่วนจำเลยที่ 1 นายบรรณพจน์ ศาลเห็นว่าคดีแห่งข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นพี่ชายบุญธรรมของ จำเลยที่ 2 จริง ซึ่งมีการแต่งงานและได้ร่วมสร้างฐานะโดยมีจำเลยที่ 2 รับรู้จริง จึงมีเหตุฟังได้ว่า การให้จำเลยที่ 2 ให้การในคดีดังกล่าว ไม่เป็นการให้การเท็จ พิพากษาแก้จากศาลชั้นต้น ให้จำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 2 ปี แต่เนื่องจากจำเลยที่ 1 ไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน อีกทั้งเคยฝากเงินสนับสนุนมูลนิธิไทยคมจำนวนมากมาโดยตลอด จึงเป็นเหตุให้บรรเทาโทษ ศาลปราณีโทษจำคุกให้รอลงอาญา 1 ปี
ใช่อยู่...คดีนี้ ยังไม่ถึงที่สุดและอาจจะต้องสู้กันถึงศาลฎีกา โดยภาระหน้าที่อยู่ที่อัยการว่า จะฎีกาต่อไปหรือไม่ และหากอัยการฎีกา ยกสุดท้ายของศาลสถิตยุติธรรม ใครจะถูก ใครจะผิด ยังคงต้องรออีกนานแสนนาน...!!!
แต่สำหรับนาทีนี้...อยากขอถามนายกฯ"ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร"ว่าความยุติธรรมของ(นายหญิง)ใคร?จัดให้ และคำพูดที่ท่านได้พูดไว้ เมื่อวันที่ 8 ส.ค.54 วันที่ได้รับการโปรดเกล้าฯว่า..."ดิฉันขอปวารณาตนใช้สติปัญญา ทำงานด้วยความซื่อสัตย์อย่างเต็มที่ เพื่อทำให้ประเทศสงบสุข ปรองดองและเพื่อแก้ไขปัญหาให้ประชาชน ถือเป็นพันธสัญญาทางใจ ในการตอบแทนคุณแผ่นดิน จะมุ่งมั่นสร้างความสุข สลายความทุกข์ เพื่อประชาชน ดิฉันจะไม่ทำเพื่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่จะทำเพื่อประเทศชาติและคนไทยทุกคน"ท่านพูดจริง ทำจริง หรือครับ!!!