สตม.บุกทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวจีน ได้ผู้ต้องหา 21 คน โดยแก๊งนี้จะแข่งกันทำยอดหลอกลวงเหยื่อชาวจีน-ไต้หวันให้โอนเงิน อ้างเงินในบัญชีมีเอี่ยวผิดกฎหมาย โดยกลุ่มนี้จะไปฝึกวิธีการหลอกที่ไต้หวันก่อนมาตั้งศูนย์ในไทย พบมีรายได้สูง 26 ล้านต่อสัปดาห์
วันนี้ (16 ส.ค.) เมื่อเวลา 15.00 น. พล.ต.ต.มนู เมฆหมอก ผบก.สส.สตม. พ.ต.อ.ชาติชาย เอี่ยมแสง รอง ผบก.สส.สตม. นำหมายศาล จ.พระโขนง เลขที่ 54/2554 พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ บก.สส.สตม. เข้าตรวจค้นบ้านเลขที่ 62/3 ซ.บางนา-ตราด 21 แยก 26 แขวงและเขต บางนา กทม. หลังสืบทราบว่า บ้านหลังดังกล่าวใช้เป็นสถานที่ทำงานของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวจีน
ภายในบ้านพักหลังดังกล่าวมีลักษณะเป็นบ้านเช่า 2 ชั้น พบผู้ร่วมขบวนการทั้งหมด รวม 21 คน เป็นชาวจีน 19 คน ชาวไต้หวัน 1 คน และชาวไทย 1 คน กำลังใช้ระบบอินเทอร์เน็ตโทรศัพท์ข้ามประเทศโดยใช้ภาษาจีน ซึ่งในกลุ่มนี้มีนางหยาง ซี่หยู อายุ 28 ปี และนายหยาง ยันสง อายุ 29 ปี รับเป็นหัวหน้าแก๊ง นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังสามารถตรวจยึดของกลางเป็นโน้ตบุ๊กรวม 15 เครื่อง อุปกรณ์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต 5 ตัว และโทรศัพท์มือถือ 5 เครื่อง และวิทยุสื่อสาร 2 ตัว โทรศัพท์บ้าน 15 เครื่อง สมุดบัญชีธนาคารต่างๆ หลายบัญชี และบทพูดภาษาจีนที่ใช้ในการหลอกลวงเหยื่อจำนวนมาก
พล.ต.ต.มนูกล่าวว่า จากการสอบสวนทราบว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลุ่มนี้มาจากประเทศจีน และมีการไปฝึกงานเกี่ยวกับการหลอกลวงผู้เสียหายให้โอนเงินเข้าบัญชีที่ประเทศไต้หวันเป็นเวลาประมาณ 1 เดือน ก่อนจะเดินทางมาตั้งศูนย์ที่ประเทศไทยเพื่อโทรศัพท์กลับไปหลอกลวงชาวไต้หวัน และชาวจีน ว่าผู้เสียหายมีเงินในบัญชีมีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำความผิดเกี่ยวกับผิดกฎหมาย พร้อมกับล่อลวงให้ผู้เสียหายโอนเงินให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลุ่มนี้ นอกจากนี้ จากการตรวจสอบยังพบว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลุ่มนี้มีการแข่งขันกันทำยอดในการหลอกโอนเงินด้วย เพราะบริเวณฝาผนังห้องมีบอร์ดรายชื่อของแต่ละคนเป็นภาษาจีนที่ระบุรายได้เฉลี่ยในแต่ละเดือนด้วย
พล.ต.ต.มนูกล่าวอีกว่า เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ ว่ามาเช่าบ้านหลังนี้ได้ประมาณ 1 เดือนครึ่ง และจะมีการแบ่งหน้าที่กันทำ โดยมีการแบ่งเป็นห้องต่างๆ เช่น ห้องของพนักงานสอบสวน ห้องของพนักงานอัยการ พนักงานธนาคาร เพื่อโทรศัพท์กลับไปหลอกลวงผู้เสียหายให้โอนเงินเข้าบัญชี พร้อมกันนี้ยังพบว่ากลุ่มผู้ต้องหายังว่าจ้างคนไทยให้เปิดบัญชีธนาคารในประเทศไทย โดยจะให้ค่าจ้างคนละ 6,000 บาท ต่อบัญชี
ด้าน พ.ต.อ.ชาติชายกล่าวว่า สำหรับการบุกเข้าทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในครั้งนี้เนื่องจากก่อนหน้านี้ตำรวจไทยได้เข้าจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวไต้หวันที่เข้ามาตั้งศูนย์ในประเทศไทย ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลในคอมพิวเตอร์ที่ตรวจยึดมาได้พบว่าแก๊งก่อนหน้านี้มีรายได้เฉลี่ยสูงถึงสัปดาห์ละกว่า 26 ล้านบาท โดยทางตำรวจไต้หวันได้ประสานมายังตำรวจไทยพบเบาะแส ว่ามีแก๊งคอลเซ็นเตอร์อยู่ในประเทศไทยอีก ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้สืบสวนหาข้อมูลจนพบว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ได้มาใช้บ้านเช่าหลังนี้เป็นฐานปฏิบัติการจึงนำกำลังเข้าจับกุมดังกล่าว ซึ่งคาดว่าแก๊งที่เพิ่งจับกุมได้ก็น่าจะมีรายได้สูงเช่นกัน ซึ่งต้องรอผลการตรวจสอบข้อมูลการหมุนเวียนของเงินในคอมพิวเตอร์อย่างละเอียดอีกครั้ง
วันนี้ (16 ส.ค.) เมื่อเวลา 15.00 น. พล.ต.ต.มนู เมฆหมอก ผบก.สส.สตม. พ.ต.อ.ชาติชาย เอี่ยมแสง รอง ผบก.สส.สตม. นำหมายศาล จ.พระโขนง เลขที่ 54/2554 พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ บก.สส.สตม. เข้าตรวจค้นบ้านเลขที่ 62/3 ซ.บางนา-ตราด 21 แยก 26 แขวงและเขต บางนา กทม. หลังสืบทราบว่า บ้านหลังดังกล่าวใช้เป็นสถานที่ทำงานของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวจีน
ภายในบ้านพักหลังดังกล่าวมีลักษณะเป็นบ้านเช่า 2 ชั้น พบผู้ร่วมขบวนการทั้งหมด รวม 21 คน เป็นชาวจีน 19 คน ชาวไต้หวัน 1 คน และชาวไทย 1 คน กำลังใช้ระบบอินเทอร์เน็ตโทรศัพท์ข้ามประเทศโดยใช้ภาษาจีน ซึ่งในกลุ่มนี้มีนางหยาง ซี่หยู อายุ 28 ปี และนายหยาง ยันสง อายุ 29 ปี รับเป็นหัวหน้าแก๊ง นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังสามารถตรวจยึดของกลางเป็นโน้ตบุ๊กรวม 15 เครื่อง อุปกรณ์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต 5 ตัว และโทรศัพท์มือถือ 5 เครื่อง และวิทยุสื่อสาร 2 ตัว โทรศัพท์บ้าน 15 เครื่อง สมุดบัญชีธนาคารต่างๆ หลายบัญชี และบทพูดภาษาจีนที่ใช้ในการหลอกลวงเหยื่อจำนวนมาก
พล.ต.ต.มนูกล่าวว่า จากการสอบสวนทราบว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลุ่มนี้มาจากประเทศจีน และมีการไปฝึกงานเกี่ยวกับการหลอกลวงผู้เสียหายให้โอนเงินเข้าบัญชีที่ประเทศไต้หวันเป็นเวลาประมาณ 1 เดือน ก่อนจะเดินทางมาตั้งศูนย์ที่ประเทศไทยเพื่อโทรศัพท์กลับไปหลอกลวงชาวไต้หวัน และชาวจีน ว่าผู้เสียหายมีเงินในบัญชีมีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำความผิดเกี่ยวกับผิดกฎหมาย พร้อมกับล่อลวงให้ผู้เสียหายโอนเงินให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลุ่มนี้ นอกจากนี้ จากการตรวจสอบยังพบว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลุ่มนี้มีการแข่งขันกันทำยอดในการหลอกโอนเงินด้วย เพราะบริเวณฝาผนังห้องมีบอร์ดรายชื่อของแต่ละคนเป็นภาษาจีนที่ระบุรายได้เฉลี่ยในแต่ละเดือนด้วย
พล.ต.ต.มนูกล่าวอีกว่า เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ ว่ามาเช่าบ้านหลังนี้ได้ประมาณ 1 เดือนครึ่ง และจะมีการแบ่งหน้าที่กันทำ โดยมีการแบ่งเป็นห้องต่างๆ เช่น ห้องของพนักงานสอบสวน ห้องของพนักงานอัยการ พนักงานธนาคาร เพื่อโทรศัพท์กลับไปหลอกลวงผู้เสียหายให้โอนเงินเข้าบัญชี พร้อมกันนี้ยังพบว่ากลุ่มผู้ต้องหายังว่าจ้างคนไทยให้เปิดบัญชีธนาคารในประเทศไทย โดยจะให้ค่าจ้างคนละ 6,000 บาท ต่อบัญชี
ด้าน พ.ต.อ.ชาติชายกล่าวว่า สำหรับการบุกเข้าทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในครั้งนี้เนื่องจากก่อนหน้านี้ตำรวจไทยได้เข้าจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวไต้หวันที่เข้ามาตั้งศูนย์ในประเทศไทย ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลในคอมพิวเตอร์ที่ตรวจยึดมาได้พบว่าแก๊งก่อนหน้านี้มีรายได้เฉลี่ยสูงถึงสัปดาห์ละกว่า 26 ล้านบาท โดยทางตำรวจไต้หวันได้ประสานมายังตำรวจไทยพบเบาะแส ว่ามีแก๊งคอลเซ็นเตอร์อยู่ในประเทศไทยอีก ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้สืบสวนหาข้อมูลจนพบว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ได้มาใช้บ้านเช่าหลังนี้เป็นฐานปฏิบัติการจึงนำกำลังเข้าจับกุมดังกล่าว ซึ่งคาดว่าแก๊งที่เพิ่งจับกุมได้ก็น่าจะมีรายได้สูงเช่นกัน ซึ่งต้องรอผลการตรวจสอบข้อมูลการหมุนเวียนของเงินในคอมพิวเตอร์อย่างละเอียดอีกครั้ง