ตำรวจหอบสำนวน พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ ส่งฟ้องต่ออัยการศาลทหารแล้ว โดยเจ้าตัวดอดไปถึงศาลทหารตั้งแต่เช้า ขณะที่ญาติ “หมอมุก” ไม่เห็นด้วยที่ตำรวจเร่งสรุปสำนวนส่งฟ้องผู้ต้องหา เผย แม่หมอมุกรู้สึกท้อ ระบุ รอเพียง “หมอมุก” เท่านั้นที่จะชี้ชัดได้ว่า ใครคือผู้ขับรถชนตัวจริง พร้อมเผย ข้องใจตำรวจ ทำไมไม่แจ้งข้อหาร่วมกับผู้ที่อยู่ในรถด้วย
วันนี้ (10 ส.ค.) เมื่อเวลา 09.15 น. พ.ต.ท.วิชัย แดงประดับ พนักงานสอบสวน (สบ3) สน.พญาไท ได้เดินทางมาที่ศาลทหารกรุงเทพ กรมพระธรรมนูญ กระทรวงกลาโหม เพื่อนำเอกสารสำนวนในคดีที่ พันเอก ศักดิ์สิทธิ์ ภู่กลั่น ผู้อำนวยการกองกลาง สำนักงานปลัดบัญชีทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย ผู้ต้องหาในคดีขับรถชน พันตรีแพทย์หญิง หทัยพร อิ่มวิทยา หรือ “หมอมุก” แพทย์ประจำโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ได้รับบาดเจ็บสาหัส ส่งฟ้องต่ออัยการทหาร โดย พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ ได้ขอเปลี่ยนแปลงการเดินทางไปศาลพร้อมพนักงานสอบสวน โดยเดินทางไปถึงก่อนตั้งแต่เวลา 07.00 น.ด้วยเครื่องแบบทหาร และมีสีหน้าที่ยิ้มแย้มไม่ตรึงเครียดแต่อย่างใด ซึ่งทางพนักงานสอบสวนได้ใช้เวลาในการส่งสำนวนสั่งฟ้องนานกว่า 3 ชั่วโมง
พ.ต.ท.วิชัย กล่าวภายหลังว่า ได้นำสำนวนพร้อมตัว พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ เพื่อส่งฟ้องต่อพนักงานอัยการศาลทหาร โดยหลังจากนี้ ขั้นตอนต่อไปทางพนักงานอัยการศาลทหารจะพิจารณาสำนวนดังกล่าวว่ามีความเห็นต่อสำนวนอย่างไร จะทำการสั่งฟ้องหรือสอบสำนวนเพิ่มเติม อย่างไรก็ดี ระยะเวลาในการพิจารณาว่าจะสั่งฟ้องหรือไม่นั้น ในขั้นตอนของชั้นอัยการศาลทหาร ไม่สามารถระบุได้แน่ชัดเนื่องจากคดีดังกล่าว มีพยานแวดล้อมจำนวนมาก จึงต้องใช้เวลาในการพิจารณาพยานหลักฐานให้ชัดเจนเสียก่อน ซึ่งหากมีผลการพิจารณาประการใด ทางพนักงานอัยการศาลจะแจ้งมาทางพนักงานสอบสวนอีกครั้ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจาก พ.ต.ท.วิชัย ได้เดินทางออกมาโดยไร้วี่แววของ พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ ผู้สื่อข่าว จึงได้ไปสอบถามเจ้าหน้าที่ของทางกรมพระธรรมนูญ ได้ความว่า พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ ได้เดินทางกลับไปแล้ว
วันเดียวกัน ที่ห้อง1428 หอผู้ป่วยศัลยกรรมพิเศษ 14/2 อาคารเฉลิมพระเกียรติพระชนมพรรษา 6 รอบ รพ.พระมงกฎฯ พญ.พรรกร อิ่มวิทยา เปิดเผยถึงอาการของหมอมุก ว่า ในวันนี้ ทางทีมนักกายภาพบำบัดได้ทำการให้หมอมุกฝึกโยนลูกบอล และฝึกการเขียน ซึ่งหมอมุกเขียนดีขึ้น แต่ลายมือยังไม่เหมือนเดิม มือข้างขวามีอาการอ่อนแรง ในส่วนของการพูดนั้นยังไม่สามารถพูดโต้ตอบได้ พูดได้ช้า ถือว่ายังไม่ดีนัก อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการที่พนักงานสอบสวนนำตัวคู่กรณีพร้อมสำนวนไปยื่นฟ้องต่อพนักงานอัยการทหารนั้น ขอไม่ขอแสดงความคิดเห็น ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของทางทนาย
ด้าน นายกอสร้าง วรรณรสพากย์ ลูกพี่ลูกน้องของ พญ.หทัยพร กล่าวว่า การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการสรุปสำนวนไปในลักษณะนั้น ฝ่ายของตนไม่เห็นด้วยในการทำสำนวนดังกล่าว เนื่องจากยังมีข้อสงสัยในเรื่องของภาพสุดท้ายของรถคันที่ พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ ขับ ว่า ไปจอดที่บริเวณใดเป็นจุดสุดท้าย อีกทั้งการที่เจ้าหน้าที่ไม่แจ้งข้อหาร่วมกับผู้ที่อยู่ภายในรถ รวมทั้งไม่ปักใจ เชื่อว่า คู่กรณีเป็นคนขับจริง อย่างไรก็ตาม ทางเจ้าหน้าที่ ตร.ได้ทำการสรุปสำนวนไปเช่นนี้แล้ว หากตนจะแย้งว่าผู้ที่ขับรถชนหมอมุกไม่ใช่ พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นคนอื่นก็คงไม่ทันการ ซึ่งตอนนี้ทางฝ่ายตนโดยเฉพาะ พญ.พรรกร รู้สึกท้อกับคดีนี้ แต่ก็มีกำลังใจที่ดี เนื่องจากอาการของหมอมุกดีขึ้นตามลำดับ ก็ได้แต่หวังว่าขอให้หมอมุกหายกลับมาเป็นปกติ สามารถชี้ตัวคนผิดมาดำเนินคดีให้ได้ เพราะคนที่จะรู้ว่าใครเป็นคนชนนั้น หมอมุกเป็นคนรู้ดีที่สุด สุดท้ายความจริงก็จะปรากฏขึ้นเอง
ขณะที่ พ.อ.นพ.พีระพล ปกป้อง ผอ.กองอุบัติเหตุและเวชกรรมฉุกเฉิน กล่าวว่า ขณะนี้หมอมุกยังพูดติดขัดอยู่ ต้องมีการพูดชี้นำ อีกทั้งสามารถร้องเพลงและคิดเลขได้แต่ผลลัพธ์ ได้แค่ไม่เกิน 20 เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ในการรักษาของแพทย์ได้พาหมอมุกไปทำการเอกซเรย์กะโหลกศีรษะ เพื่อเตรียมใส่กะโหลกเทียมให้ เพราะว่าหมอมุกได้รับบาดเจ็บที่กะโหลกศีรษะแตกร้าว ทำให้แพทย์ต้องทำการผ่าตัดเอากะโหลกศีรษะด้านซ้ายออก ซึ่งคาดว่า ประมาณเดือนตุลาคม ทีมแพทย์จะสามารถใส่กะโหลกเทียมให้หมอมุกได้ อย่างไรก็ตาม โอกาสที่หมอมุกจะกลับเป็นเหมือนเดิมนั้น มีโอกาสเป็นไปได้ เมื่อเทียบกับผู้บาดเจ็บในลักษณะเดียวกันบางรายก็สามารถกลับมาประกอบอาชีพเดิมได้เป็นปกติ
วันนี้ (10 ส.ค.) เมื่อเวลา 09.15 น. พ.ต.ท.วิชัย แดงประดับ พนักงานสอบสวน (สบ3) สน.พญาไท ได้เดินทางมาที่ศาลทหารกรุงเทพ กรมพระธรรมนูญ กระทรวงกลาโหม เพื่อนำเอกสารสำนวนในคดีที่ พันเอก ศักดิ์สิทธิ์ ภู่กลั่น ผู้อำนวยการกองกลาง สำนักงานปลัดบัญชีทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย ผู้ต้องหาในคดีขับรถชน พันตรีแพทย์หญิง หทัยพร อิ่มวิทยา หรือ “หมอมุก” แพทย์ประจำโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ได้รับบาดเจ็บสาหัส ส่งฟ้องต่ออัยการทหาร โดย พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ ได้ขอเปลี่ยนแปลงการเดินทางไปศาลพร้อมพนักงานสอบสวน โดยเดินทางไปถึงก่อนตั้งแต่เวลา 07.00 น.ด้วยเครื่องแบบทหาร และมีสีหน้าที่ยิ้มแย้มไม่ตรึงเครียดแต่อย่างใด ซึ่งทางพนักงานสอบสวนได้ใช้เวลาในการส่งสำนวนสั่งฟ้องนานกว่า 3 ชั่วโมง
พ.ต.ท.วิชัย กล่าวภายหลังว่า ได้นำสำนวนพร้อมตัว พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ เพื่อส่งฟ้องต่อพนักงานอัยการศาลทหาร โดยหลังจากนี้ ขั้นตอนต่อไปทางพนักงานอัยการศาลทหารจะพิจารณาสำนวนดังกล่าวว่ามีความเห็นต่อสำนวนอย่างไร จะทำการสั่งฟ้องหรือสอบสำนวนเพิ่มเติม อย่างไรก็ดี ระยะเวลาในการพิจารณาว่าจะสั่งฟ้องหรือไม่นั้น ในขั้นตอนของชั้นอัยการศาลทหาร ไม่สามารถระบุได้แน่ชัดเนื่องจากคดีดังกล่าว มีพยานแวดล้อมจำนวนมาก จึงต้องใช้เวลาในการพิจารณาพยานหลักฐานให้ชัดเจนเสียก่อน ซึ่งหากมีผลการพิจารณาประการใด ทางพนักงานอัยการศาลจะแจ้งมาทางพนักงานสอบสวนอีกครั้ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจาก พ.ต.ท.วิชัย ได้เดินทางออกมาโดยไร้วี่แววของ พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ ผู้สื่อข่าว จึงได้ไปสอบถามเจ้าหน้าที่ของทางกรมพระธรรมนูญ ได้ความว่า พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ ได้เดินทางกลับไปแล้ว
วันเดียวกัน ที่ห้อง1428 หอผู้ป่วยศัลยกรรมพิเศษ 14/2 อาคารเฉลิมพระเกียรติพระชนมพรรษา 6 รอบ รพ.พระมงกฎฯ พญ.พรรกร อิ่มวิทยา เปิดเผยถึงอาการของหมอมุก ว่า ในวันนี้ ทางทีมนักกายภาพบำบัดได้ทำการให้หมอมุกฝึกโยนลูกบอล และฝึกการเขียน ซึ่งหมอมุกเขียนดีขึ้น แต่ลายมือยังไม่เหมือนเดิม มือข้างขวามีอาการอ่อนแรง ในส่วนของการพูดนั้นยังไม่สามารถพูดโต้ตอบได้ พูดได้ช้า ถือว่ายังไม่ดีนัก อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการที่พนักงานสอบสวนนำตัวคู่กรณีพร้อมสำนวนไปยื่นฟ้องต่อพนักงานอัยการทหารนั้น ขอไม่ขอแสดงความคิดเห็น ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของทางทนาย
ด้าน นายกอสร้าง วรรณรสพากย์ ลูกพี่ลูกน้องของ พญ.หทัยพร กล่าวว่า การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการสรุปสำนวนไปในลักษณะนั้น ฝ่ายของตนไม่เห็นด้วยในการทำสำนวนดังกล่าว เนื่องจากยังมีข้อสงสัยในเรื่องของภาพสุดท้ายของรถคันที่ พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ ขับ ว่า ไปจอดที่บริเวณใดเป็นจุดสุดท้าย อีกทั้งการที่เจ้าหน้าที่ไม่แจ้งข้อหาร่วมกับผู้ที่อยู่ภายในรถ รวมทั้งไม่ปักใจ เชื่อว่า คู่กรณีเป็นคนขับจริง อย่างไรก็ตาม ทางเจ้าหน้าที่ ตร.ได้ทำการสรุปสำนวนไปเช่นนี้แล้ว หากตนจะแย้งว่าผู้ที่ขับรถชนหมอมุกไม่ใช่ พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นคนอื่นก็คงไม่ทันการ ซึ่งตอนนี้ทางฝ่ายตนโดยเฉพาะ พญ.พรรกร รู้สึกท้อกับคดีนี้ แต่ก็มีกำลังใจที่ดี เนื่องจากอาการของหมอมุกดีขึ้นตามลำดับ ก็ได้แต่หวังว่าขอให้หมอมุกหายกลับมาเป็นปกติ สามารถชี้ตัวคนผิดมาดำเนินคดีให้ได้ เพราะคนที่จะรู้ว่าใครเป็นคนชนนั้น หมอมุกเป็นคนรู้ดีที่สุด สุดท้ายความจริงก็จะปรากฏขึ้นเอง
ขณะที่ พ.อ.นพ.พีระพล ปกป้อง ผอ.กองอุบัติเหตุและเวชกรรมฉุกเฉิน กล่าวว่า ขณะนี้หมอมุกยังพูดติดขัดอยู่ ต้องมีการพูดชี้นำ อีกทั้งสามารถร้องเพลงและคิดเลขได้แต่ผลลัพธ์ ได้แค่ไม่เกิน 20 เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ในการรักษาของแพทย์ได้พาหมอมุกไปทำการเอกซเรย์กะโหลกศีรษะ เพื่อเตรียมใส่กะโหลกเทียมให้ เพราะว่าหมอมุกได้รับบาดเจ็บที่กะโหลกศีรษะแตกร้าว ทำให้แพทย์ต้องทำการผ่าตัดเอากะโหลกศีรษะด้านซ้ายออก ซึ่งคาดว่า ประมาณเดือนตุลาคม ทีมแพทย์จะสามารถใส่กะโหลกเทียมให้หมอมุกได้ อย่างไรก็ตาม โอกาสที่หมอมุกจะกลับเป็นเหมือนเดิมนั้น มีโอกาสเป็นไปได้ เมื่อเทียบกับผู้บาดเจ็บในลักษณะเดียวกันบางรายก็สามารถกลับมาประกอบอาชีพเดิมได้เป็นปกติ