ตำรวจ ปส.วางแผนล่อซื้อยาบ้า นัดส่งของกลางห้างดังชานกรุง วางกำลังรวบ 3 หนุ่มช่างซ่อมรถ สารภาพรายได้หดจึงรับยาจากเครือข่ายชาวลาวมัดละ 180,000 มาขายต่อในราคา 280,000
วันนี้ (2 ส.ค.) เมื่อเวลา 13.00 น. พ.ต.อ.ชาตรี ไพศาลศิลป์ พ.ต.อ.ฉัตรชัย ศิริทรัพย์ พ.ต.อ.วุฒิศาสตร์ อำพันธ์ยุทธ์ รอง ผบก.ปส.1 พ.ต.ท.อุดมรัตน์ อิทธิโสภาพันธุ์ รอง ผกก.2 บก.ปส.1 พ.ต.ต.สิทธิเดช เรืองสม สว.กก.2 บก.ปส.1พร้อมกำลังชุดสืบสวน ได้ร่วมกันทำการจับกุมผู้ต้องหาค้ายาเสพติด 3 ราย คือ 1.นายสุพชาติ วรสิงห์ อายุ 36 ปี อยู่บ้านเลขที่ 72 หมู่ 12 ต.โสกก่าม อ.เซกา จ.บึงกาฬ 2.นายประสิทธิ สุดแสง อายุ 34 ปี อยู่บ้านเลขที่ 308 หมู่ 6 ต.มะข้ามคู่ อ.นิคมพัฒนา จ.ระยอง และ 3.นายวิทยา เอกสะพัง อายุ 36 ปี อยู่บ้านเลขที่ 134 หมู่ 1 ตำบลโสกก่าม อ.เซกา จ.บึงกาฬ พร้อมของกลางยาบ้า 16,000 เม็ด รถยนต์กระบะ ยี่ห้อเชฟโลเร็ต หมายเลขทะเบียน บษ-6185 อุดรธานี สีบรอนซ์ทอง จำนวน 1 คัน และโทรศัพท์มือถือจำนวน 4 เครื่อง โดยจับกุมได้ที่บริเวณลานจอดรถชั้นพี 4 ห้างสรรพสินค้าฟิวเจอร์พาร์ครังสิต และลานจอดรถหน้าห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี ด้านข้างของห้างสรรพสินค้าฟิวเจอร์พาร์ครังสิต ถนนพหลโยธิน ต.ประชาธิปัตย์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี
พ.ต.อ.ชาตรีกล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน กก.2 บก.ปส.1 ได้รับแจ้งจากสายลับว่า นายสุพชาติ หรือเลิศ พร้อมกับพวกมีพฤติการณ์ลักลอบจำหน่ายยาเสพติดโดยร่วมกับกลุ่มผู้ค้าชาวลาว จึงได้ทำการติดต่อล่อซื้อยาบ้าจำนวน 20 มัด ในราคามัดละ 280,000 บาท จากนั้นได้นัดพบนายสุพชาติฯที่ห้างสรรพสินค้าโลตัส สาขาคลอง 7 ในวันที่ 27 ก.ค. 2554 เวลาประมาณ 15.00 น. แต่นายสุพชาติและเพื่อนขอเวลาไปเตรียมยาบ้าและการลำเลียงก่อน กระทั่งวานนี้ (1 ส.ค.) นายสุพชาติกับพวกได้นัดซื้อขายที่ตลาดไทในช่วงเวลาประมาณ 17.00 น.
พ.ต.อ.ชาตรีกล่าวอีกว่า หลังจากนัดหมายเป็นที่เรียบร้อยจึงได้เรียกเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนประชุมร่วมกันวางแผนการจับกุม โดยแบ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็น 2 ชุด โดยชุดที่ 1 ทำหน้าที่คุ้มกันเจ้าหน้าที่อำพรางและเงินล่อซื้อและเข้าทำการจับกุมผู้จะมารับเงินเมื่อมีการซื้อขายสำเร็จชุดที่ 2 ทำหน้าที่เป็นผู้รับยาบ้าจากกลุ่มผู้ค้าและจับกุมเมื่อมีการส่งมอบของ แต่ต่อมานายสุพชาติกับพวกได้โทรแจ้งขอเปลี่ยนจุดส่งของจากตลาดไทเป็นห้างสรรพสินค้าฟิวเจอร์พาร์ครังสิตแทน
พ.ต.อ.ชาตรีกล่าวต่อว่า เจ้าหน้าที่ได้นัดเจรจากับนายสุพชาติและนายวิทยาในศูนย์อาหารห้างสรรพสินค้า และระหว่างการเจรจาเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนได้กระจายกำลังในลานจอดรถยนต์ห้างสรรพสินค้าฟิวเจอร์พาร์ค ตรวจพบรถยนต์เชฟโรเลต หมายเลขทะเบียน บษ-6185 อุดรธานี คันเดียวกันกับที่มาเจรจาเมื่อวันที่ 27 ก.ค. 2554 จอดอยู่บริเวณลานจอดรถด้านร้านอาหารโรงเบียร์ เจ้าหน้าที่จึงได้กระจายกำลังเฝ้าสังเกตการณ์ กระทั่งเห็นนายประสิทธิ์เป็นคนขับรถและยืนสังเกตเฝ้าดูแลรถไว้ ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้พานายสุพชาติไปดูและตรวจนับเงินล่อซื้อในรถยนต์ เมื่อรับยาบ้าแล้วจึงให้ชุดเฝ้าสังเกตการณ์เข้าทำการจับกุมนายประสิทธิ์ ก่อนจะแจ้งให้ชุดปฏิบัติการที่ 1 และเจ้าหน้าที่ชุดอำพรางแสดงตัวและเข้าทำการจับกุมนายสุพชาติและนายวิทยาขณะที่กำลังเดินมารับเงินในรถยนต์ของเจ้าหน้าที่ โดยสามารถยึดยาบ้าในโทรศัพท์มือและรถยนต์เอาไว้ได้ทั้งหมด
จากการสอบสวนนายสุพชาติให้การรับสารภาพว่า มีอาชีพช่างรับซ่อมรถหาเงินไม่ค่อยได้ พอดีไปรู้จักกับคนลาวชื่อสอน เลยชักชวนให้นำยาบ้ามาขาย โดยตนรับมาในราคามัดละ 180,000 บาท และตนจะนำมาขายต่อในราคามัดละ 280,000 บาท
เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหาร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต ก่อนนำตัวพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน บช.ปส.ดำเนินคดีต่อไป
วันนี้ (2 ส.ค.) เมื่อเวลา 13.00 น. พ.ต.อ.ชาตรี ไพศาลศิลป์ พ.ต.อ.ฉัตรชัย ศิริทรัพย์ พ.ต.อ.วุฒิศาสตร์ อำพันธ์ยุทธ์ รอง ผบก.ปส.1 พ.ต.ท.อุดมรัตน์ อิทธิโสภาพันธุ์ รอง ผกก.2 บก.ปส.1 พ.ต.ต.สิทธิเดช เรืองสม สว.กก.2 บก.ปส.1พร้อมกำลังชุดสืบสวน ได้ร่วมกันทำการจับกุมผู้ต้องหาค้ายาเสพติด 3 ราย คือ 1.นายสุพชาติ วรสิงห์ อายุ 36 ปี อยู่บ้านเลขที่ 72 หมู่ 12 ต.โสกก่าม อ.เซกา จ.บึงกาฬ 2.นายประสิทธิ สุดแสง อายุ 34 ปี อยู่บ้านเลขที่ 308 หมู่ 6 ต.มะข้ามคู่ อ.นิคมพัฒนา จ.ระยอง และ 3.นายวิทยา เอกสะพัง อายุ 36 ปี อยู่บ้านเลขที่ 134 หมู่ 1 ตำบลโสกก่าม อ.เซกา จ.บึงกาฬ พร้อมของกลางยาบ้า 16,000 เม็ด รถยนต์กระบะ ยี่ห้อเชฟโลเร็ต หมายเลขทะเบียน บษ-6185 อุดรธานี สีบรอนซ์ทอง จำนวน 1 คัน และโทรศัพท์มือถือจำนวน 4 เครื่อง โดยจับกุมได้ที่บริเวณลานจอดรถชั้นพี 4 ห้างสรรพสินค้าฟิวเจอร์พาร์ครังสิต และลานจอดรถหน้าห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี ด้านข้างของห้างสรรพสินค้าฟิวเจอร์พาร์ครังสิต ถนนพหลโยธิน ต.ประชาธิปัตย์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี
พ.ต.อ.ชาตรีกล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน กก.2 บก.ปส.1 ได้รับแจ้งจากสายลับว่า นายสุพชาติ หรือเลิศ พร้อมกับพวกมีพฤติการณ์ลักลอบจำหน่ายยาเสพติดโดยร่วมกับกลุ่มผู้ค้าชาวลาว จึงได้ทำการติดต่อล่อซื้อยาบ้าจำนวน 20 มัด ในราคามัดละ 280,000 บาท จากนั้นได้นัดพบนายสุพชาติฯที่ห้างสรรพสินค้าโลตัส สาขาคลอง 7 ในวันที่ 27 ก.ค. 2554 เวลาประมาณ 15.00 น. แต่นายสุพชาติและเพื่อนขอเวลาไปเตรียมยาบ้าและการลำเลียงก่อน กระทั่งวานนี้ (1 ส.ค.) นายสุพชาติกับพวกได้นัดซื้อขายที่ตลาดไทในช่วงเวลาประมาณ 17.00 น.
พ.ต.อ.ชาตรีกล่าวอีกว่า หลังจากนัดหมายเป็นที่เรียบร้อยจึงได้เรียกเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนประชุมร่วมกันวางแผนการจับกุม โดยแบ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็น 2 ชุด โดยชุดที่ 1 ทำหน้าที่คุ้มกันเจ้าหน้าที่อำพรางและเงินล่อซื้อและเข้าทำการจับกุมผู้จะมารับเงินเมื่อมีการซื้อขายสำเร็จชุดที่ 2 ทำหน้าที่เป็นผู้รับยาบ้าจากกลุ่มผู้ค้าและจับกุมเมื่อมีการส่งมอบของ แต่ต่อมานายสุพชาติกับพวกได้โทรแจ้งขอเปลี่ยนจุดส่งของจากตลาดไทเป็นห้างสรรพสินค้าฟิวเจอร์พาร์ครังสิตแทน
พ.ต.อ.ชาตรีกล่าวต่อว่า เจ้าหน้าที่ได้นัดเจรจากับนายสุพชาติและนายวิทยาในศูนย์อาหารห้างสรรพสินค้า และระหว่างการเจรจาเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนได้กระจายกำลังในลานจอดรถยนต์ห้างสรรพสินค้าฟิวเจอร์พาร์ค ตรวจพบรถยนต์เชฟโรเลต หมายเลขทะเบียน บษ-6185 อุดรธานี คันเดียวกันกับที่มาเจรจาเมื่อวันที่ 27 ก.ค. 2554 จอดอยู่บริเวณลานจอดรถด้านร้านอาหารโรงเบียร์ เจ้าหน้าที่จึงได้กระจายกำลังเฝ้าสังเกตการณ์ กระทั่งเห็นนายประสิทธิ์เป็นคนขับรถและยืนสังเกตเฝ้าดูแลรถไว้ ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้พานายสุพชาติไปดูและตรวจนับเงินล่อซื้อในรถยนต์ เมื่อรับยาบ้าแล้วจึงให้ชุดเฝ้าสังเกตการณ์เข้าทำการจับกุมนายประสิทธิ์ ก่อนจะแจ้งให้ชุดปฏิบัติการที่ 1 และเจ้าหน้าที่ชุดอำพรางแสดงตัวและเข้าทำการจับกุมนายสุพชาติและนายวิทยาขณะที่กำลังเดินมารับเงินในรถยนต์ของเจ้าหน้าที่ โดยสามารถยึดยาบ้าในโทรศัพท์มือและรถยนต์เอาไว้ได้ทั้งหมด
จากการสอบสวนนายสุพชาติให้การรับสารภาพว่า มีอาชีพช่างรับซ่อมรถหาเงินไม่ค่อยได้ พอดีไปรู้จักกับคนลาวชื่อสอน เลยชักชวนให้นำยาบ้ามาขาย โดยตนรับมาในราคามัดละ 180,000 บาท และตนจะนำมาขายต่อในราคามัดละ 280,000 บาท
เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหาร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต ก่อนนำตัวพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน บช.ปส.ดำเนินคดีต่อไป
