“สภาทนาย” ช่วยฟ้องคดีชาวบ้านเดือดร้อนโรงสีข้าวปล่อยฝุ่นละออง

“สภาทนาย” เดินหน้าต่อช่วยชาวบ้านชุมชนท่าพระยา ฟ้อง เจ้าหน้าที่รัฐละเลยต่อหน้าที่ หลังปล่อยให้โรงสีข้าวใน จ.นครปฐม ปล่อยฝุ่นละอองแพร่กระจาย จนชาวบ้านได้รับผลกระทบ โดยก่อนหน้ายื่นฟ้องต่อศาลแพ่งคดีสิ่งแวดล้อมไปแล้ว แต่พบว่าโรงงานดังกล่าวยังฝ่าฝืนประกอบกิจการเช่นเดิม

วันนี้ (27 ก.ค.) ที่สภาทนายความ ถนนราชดำเนิน นายเจษฎา อนุจารี อุปนายกฝ่ายนโยบายและแผนงาน และรองโฆษกสภาทนายความ แถลงความคืบหน้า กรณีเมื่อวันที่ 17 มี.ค.54 นายสุธี พันธุลาภ และชาวบ้านในชุมชนท่าพระยา และชาวบ้านบริเวณวัดทุ่งน้อย ต.ท่าพระยา อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม ได้ร้องขอความช่วยเหลือทางกฎหมายจากสภาทนายความ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการปล่อยฝุ่นละอองแพร่กระจายออกมาจากเครื่องจักรอบข้าวและขัดข้าวภายในโรงสี จนถูกข่มขู่ และถูกทำร้ายร่างกาย

โดยสภาทนายความได้ยื่นฟ้องต่อศาลแพ่ง แผนกคดีสิ่งแวดล้อม กับผู้กระทำละเมิด ฐาน ละเมิด ทางด้านสิ่งแวดล้อม เมื่อวันที่ 5 ก.ค.54 ที่ผ่านมา โดยขอให้ศาลพิพากษาห้ามโรงสีประกอบกิจการอบข้าวเปลือกและขัดข้าว จนกว่าโรงสีจะดำเนินการปรับปรุง หรือแก้ไขมิให้ฝุ่นละอองเกิดจากเครื่องจักร และในสัปดาห์หน้าสภาทนายความจะยื่นฟ้องเจ้าหน้าที่รัฐต่อศาลปกครองกลาง ฐานละเลยต่อหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควร เนื่องจากที่ผ่านมาชาวบ้านเคยร้องเรียนต่อ ผวจ.นครปฐม กรมควบคุมมลพิษ และอุตสาหกรรม จ.นครปฐม เนื่องจากโรงสีดังกล่าวดำเนินการไม่ถูกต้อง และไม่มีใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน มีความผิด ตาม พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ.2535 แต่ไม่ได้รับความสนใจแก้ไขปัญหาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร อีกทั้งชาวบ้านเกรงกลัวต่ออิทธิพลจึงไม่มีใครกล้าให้ข้อมูล

นายเจษฎา กล่าวต่ออีกว่า นายสุธี ได้ต่อสู้เรียกร้องขอความเป็นธรรมอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ถูกทำร้ายร่างกายบาดเจ็บสาหัส ตาบอดหนึ่งข้าง ต้องรักษาตัวอยู่นานเกือบปี และล่าสุดก็มีคนร้ายยิงกระสุนปืนเข้าใส่บ้าน 3 นัด โดย นายสุธี ยืนยันว่า ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับใคร และสันนิษฐานสาเหตุการลอบยิงน่าจะมาจากความขัดแย้งในเรื่องนี้ ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้เข้าไปตรวจสอบโรงสี พบว่ายังคงฝ่าฝืน และประกอบกิจการเช่นเดิม โดยใช้ฟืน และแกลบเป็นเชื้อเพลิง ทำให้เกิดกองขี้เถ้าจำนวนมาก และไม่มีวิธีดักฝุ่นละอองจากการอบ และขัดข้าวพ่นออกจากเครื่องจักรทั้งกลางวันและกลางคืน