ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องศาลชั้นต้น จำคุกตลอดชีวิต “รอสดี มะยามา” หนึ่งในแนวร่วมขบวนการแบ่งแยกดินแดน แต่ให้แก้ความผิดให้เหมาะสมกับพฤติการณ์ เป็นความผิดฐานเป็นกบฏแบ่งแยกดินแดน และเป็นอั้งยี่
วันนี้ (27 ก.ค.) เมื่อเวลา 10.30 น. ที่ห้องพิจารณาคดี 804 ศาลอาญา ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีหมายเลขดำ อ.1450/2551 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ ฟ้อง นายรอสดี มะยามา เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อแบ่งแยกราชอาณาจักร สะสมกำลังพลหรืออาวุธ ใช้กำลังประทุษร้ายก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต ปล้นทรัพย์ หรือรับของโจร
โจทก์ฟ้องสรุปว่า จำเลยเป็นสมาชิกของขบวนการแบ่งแยกดินแดน ใน 5 จังหวัด คือ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส สตูล และบางส่วนของจังหวัดสงขลาออกจากราชอาณาจักรไทย ตั้งตัวเป็นรัฐอิสระปกครองตนเอง เรียกว่า “รัฐปัตตานี หรือรัฐปัตตานีดารุลสลาม” มีการสะสมกำลังพล และอาวุธ ทำการโฆษณาชวนเชื่อยุยง และปลุกระดมราษฎรให้หลงเชื่อ เกิดความเกลียดชังข้าราชการและรัฐบาลไทย เผยแพร่แนวความคิดให้กลุ่มเยาวชนที่ศึกษาอยู่ในโรงเรียนปอเน๊าะ และโรงเรียนอื่นๆ โดยมีลักษณะก่อเหตุอย่างรุนแรงหลายครั้ง ทำให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตร่างกาย และทรัพย์สิน สร้างความหวาดกลัวให้แก่ประชาชน เหตุเกิดในพื้นที่ จ.ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และอ.สะเดา อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา เกี่ยวพันกัน
โดยคดีนี้ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 15 ธ.ค.2552 ให้ลงโทษประหารชีวิต แต่จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยตลอดชีวิต ในความผิดฐานเป็นกบฏแบ่งแยกดินแดน
ศาลอุทธรณ์ประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า โจทก์มีพยานที่เป็นสมาชิกขบวนการแบ่งแยกดินแดน เบิกความว่า จำเลยเป็นแนวร่วมขบวนการแบ่งแยกดินแดน และเป็นคนชักชวนพยานให้เข้าร่วมขบวนการ โดยมีการประชุมวางแผนเพื่อก่อเหตุร้าย โดยมอบหมายให้พยานทำหน้าที่ตัดต้นไม้ขวางถนน และลอบวางระเบิด นอกจากนี้ จำเลยยังสั่งการให้สมาชิกไปยิงสายลับตำรวจ และชาวบ้านหลายครั้ง ทั้งที่ร้านน้ำชาภายในหมู่บ้าน และขี่จักรยานยนต์ประกบยิง มีบางครั้งที่ก่อเหตุไม่สำเร็จ เนื่องจากมีผู้คนพลุกพล่าน ปืนขัดลำกล้องหรือไม่พบเป้าหมาย
นอกจากนี้ โจทก์ยังมีประจักษ์พยานเป็นทหารประจำศูนย์เสริมสร้างความสมานฉันท์ ค่ายอิงคยุทธบริหาร อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เบิกความยืนยันว่า ขณะพาตัวจำเลยมาซักถามเกี่ยวกับการก่อเหตุนั้น จำเลยได้ให้การรับสารภาพว่าเป็นสมาชิกขบวนการแบ่งแยกดินแดน จากการชักชวนของนายมะซู กีเซ็ง แกนนำขบวนการคนสำคัญแต่ในชั้นศาลจำเลยเบิกความว่า ไม่ได้กระทำความผิดตามโจทก์ฟ้องและประกอบอาชีพเป็นช่างซ่อมรถจักรยานยนต์อยู่ที่ จ.นราธิวาส
เห็นว่า ในชั้นสืบพยานของศาล โจทก์นำพยานทั้งสองปากเบิกความยืนยันว่า จำเลยเป็นสมาชิกขบวนการแบ่งแยกดินแดน นอกจากนี้พนักงานสอบสวนกรมสอบคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ยังเบิกความว่าหลังเข้ารับคดีนี้เป็นคดีพิเศษ ได้แจ้งข้อกล่าวหาให้จำเลยทราบ โดยจำเลยให้การรับสารภาพถึง 3 ครั้ง ครั้งแรกคือการสอบปากคำที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ส่วนอีกสองครั้งพนักงานสอบสวนดีเอสไอ ได้เข้าไปสอบปากคำภายในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ที่จำเลยอุทธรณ์ว่าถูกทำร้ายให้รับสารภาพนั้น เห็นว่าหากมีการทำร้ายจริง เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์น่าจะรู้เห็น และไม่ยอมให้มีการทำร้ายภายในเรือนจำ เชื่อว่าจำเลยสมัครใจรับสารภาพ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการร่วมกับพวกเกินกว่า 5 คน กระทำการก่อการร้ายแบ่งแยกดินแดน ออกจากการปกครองของรัฐบาลไทย เป็นรัฐปัตตานีดารุลสลาม ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้นศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย แต่ให้แก้ความผิดให้เหมาะสมกับพฤติการณ์ของจำเลย จึงพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานเป็นกบฏแบ่งแยกดินแดน และเป็นอั้งยี่ เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษประหารชีวิต จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุกจำเลยตลอดชีวิต