กรณี “หมอมุก” พันตรีแพทย์หญิง หทัยพร อิ่มวิทยา ถูก “ไอ้โม่ง” ซิ่งรถชนปางตาย กำลังเป็นที่กล่าวขานวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ทั่วทุกมุมเมือง! หากไม่มีข่าวผลการนับคะแนนเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและฉลอง “นายกฯ หญิง” คนล่าสุดมาคั่นเสียก่อน คดีนี้ก็ยังคงครองพื้นที่หน้าหนึ่งให้หนังสือพิมพ์ทุกฉบับประโคมข่าวกันต่อไป!
นิสัยคนไทยลืมง่าย?!? แต่...คงไม่ช้าเกินไปหากทุกคนจะรีบตั้งสติหวนคืนจากอารมณ์หลงระเริงกลับมาตั้งหน้าตั้งตาค้นหาความจริง เอาใจช่วยกันพิสูจน์หาตัวตน “คนใจบาป” ที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยรถเก๋งนิสันซันนี่ สีบรอนซ์ทอง หมายเลขทะเบียน วค 1355 กรุงเทพมหานคร คันนั้น ซึ่งมันกระแทกตีนเหยียบคันเร่งส่งยานพาหนะเพชรฆาตพุ่งชน “หมอมุก” จนวิญญาณเกือบหลุดจากร่าง
สามทุ่มวันที่ 11 มิถุนายนที่ผ่านมา หัวใจของ “แม่แดง” แพทย์หญิง พรรณกร อิ่มวิทยา แทบสลาย เมื่อเห็นลูกสาวถูก “ไอ้เลือดเย็น” ซิ่งรถชนจนร่างลอยละลิ่วไปตกกระแทกพื้นห่างจากหน้าบ้านพักไกลกว่า 30 เมตร คนเป็นแม่ในวัย 70 ปี เห็นสภาพแล้วอยากเจ็บหรือแม้แต่ตายแทนลูกให้ได้ในนาทีนั้นเลยทีเดียว
แต่ด้วยเดชะบุญที่แม่ลูกคู่นี้หมั่นสร้างสมทำความดีร่วมกันมาตลอกเลยทำให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยดลบันดาลสานต่อประคองลมหายใจของ “หมอมุก” ซึ่งขณะนั้นอยู่ในสถานะ “เกือบรวยริน” ให้ออกจากจุดเกิดเหตุจนเดินทางไปถึงมือทีมแพทย์กู้ชีพ รพ.พระมงกุฎเกล้า เพื่อช่วยยื้อชีวิตได้ทันเวลา
แต่ถึงกระนั้นแพทย์ก็ยังถือว่า “หมอมุก” อยู่ในภาวะ “โคม่า” อยู่ดี เจ้าตัวมีอาการหมดสติเนื่องจากศีรษะถูกกระแทกอย่างแรงมีเลือดออกในสมอง ต้องทำการผ่าตัดเปิดกะโหลกดูดเลือดออก ใส่เครื่องช่วยหายใจ ให้อาหารทางสายยางและเฝ้าระวังการติดเชื้อในห้องไอซียู อยู่ในความดูแลของทีมแพทย์และแม่แดง แทบตลอด 24 ชั่วโมง
แม้จะเคยเป็นอาจารย์หมออยู่ รพ.ศิริราช มาก่อน แต่แม่แดง ก็เชี่ยวชาญเฉพาะด้านจุลชีววิทยา ถนัดรักษาอาการวัณโรคให้ผู้ป่วยเท่านั้น ไม่เคยมีประสบการณ์ดูแลผู้ป่วยในภาวะวิกฤติเหมือนอย่างที่ลูกสาวกำลังประสบอยู่ เลยได้แต่นั่งมองกุมมือลูกด้วยสัญชาตญาณความเป็นแม่ที่เฝ้าฟูมฟักเลี้ยงลูกสาวที่มีอยู่คนเดียวเพียงลำพังจากการกำพร้าพ่อมาตั้งแต่แบเบาะ ด้วยใจหวังแค่อยากให้ “หมอมุก” บีบมือตอบสนองกลับมาบ้างเพียง
สำหรับส่วนลึกในจิตใจใครๆ ก็เดาได้ “แม่แดง” คงอยากให้ตีนผีตัวจริงไปใช้กรรมที่มันก่อไว้กับ “ลูกมุก”ในตะรางอย่างรวดเร็วที่สุดเหมือนกัน!!!
แม่แดงสู้อุตส่าห์! เลือกหนทางสุดท้ายไปขอความช่วยเหลือจากอดีตนายทหารยศพลเอก ท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นเดียวกันกับ พันโท ประสิทธิ์ อิ่มวิทยา ผู้เป็นสามีและพ่อของ “หมอมุก” ที่สละชีพจากการลอบทำร้ายของผู้ก่อการร้าย ขณะปฏิบัติหน้าที่ในเขตปฏิบัติการของกองทัพภาคที่ 2 ตั้งแต่ “หมอมุก” มีอายุได้เพียง 9 เดือน
ชวนนายทหารท่านนั้นเดินทางเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สน.พญาไท ตั้งแต่หลังเกิดเรื่อง จนล่วงเลยไปนานถึงสัปดาห์กว่าๆ คดีก็ยังไม่คืบหน้า ร้อนถึงญาติกับเพื่อนๆ ที่อดรนทนดูสภาพความรันทดของสองแม่ลูกไม่ไหว เลยแนะนำให้ลองเข้าร้องทุกข์กับสื่อมวลชน
ได้ผลเกินคาด! เมื่อข่าวกระพือออกมาเป็นพลุแตกทำให้พยานกับหลักฐานที่เกี่ยวกับคดีเริ่มทยอยออกมาสู่สายตาของสาธารณชน ทั้งภาพวงจรปิดนาทีที่ “หมอมุก” เกือบถูกสังหาร ลายมือปริศนาซึ่งเขียนด่าฝากไว้ที่รถ “หมอมุก” โดยเฉพาะที่มาที่ไปของยานพาหนะคันที่ “ไอ้โม่ง” ใช้ในคืนวันก่อเหตุทราบว่า เป็นรถของหน่วยงานทหารสังกัดกองบัญชาการกองทัพไทย
พยานและหลักฐานสำคัญๆ หลายชิ้นชี้ให้เห็นว่า “ไอ้โม่ง” คู่กรณีต้องวนเวียนเกี่ยวดองอยู่ในสายอาชีพเดียวกันกับเหยื่ออย่างแน่นอน...
ในที่สุด พันเอก ศักดิ์สิทธิ์ ภู่กลั่น ผอ.กองกลาง สำนักงานปลัดบัญชีทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย ได้ตัดสินใจเผยตัวตนเข้ามอบตัวกับตำรวจ แอ่นอกอ้างความรับผิดชอบบอกเป็นผู้ครอบครองรถและเป็นคู่กรณีที่ปะทะคารมกับ “หมอมุก” ในคืนนั้นด้วยเรื่องจอดรถกีดขวางทางกัน โดยรถของตัวเองไปจอดขวางทางเข้าบ้าน “หมอมุก” ขณะพาครอบครัวลงไปกินข้าวในร้านอาหาร “สามเสนวิลล่า”
ส่วนลายมือปริศนาที่เขียนด่าบนกระจกรถ “หมอมุก” เป็นลายมือของลูกสาว ทำให้ “หมอมุก” โมโหเกรี้ยวกราดลงมือทุบกระโปงท้ายรถและดักกระโดดใส่ฝากระโปงหน้าจนร่างตกกระแทกพื้นได้รับบาดเจ็บไปเอง!?! นายทหารผู้นี้มีภาพ “หมอมุก” ยืนทำหน้าตาขมึงทึงซึ่งถ่ายเอาไว้มาเป็นที่ระลึกให้ตำรวจดูด้วย
ขณะที่เจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ของกองทัพก็นำรถของกลางมาส่งมอบให้ตำรวจ ระบุว่า รถมีปัญหาหม้อน้ำเสียไม่ได้ใช้มานานหลายวันแล้ว แต่ภาพที่บันทึกได้จากกล้องวงจรปิดกับผลตรวจของกองพิสูจน์หลักฐานที่พบพิรุธจากการดัดแปลงสภาพรถหลายแห่ง หลักๆ คือที่ปัดน้ำฝนและกันชนหน้า ต่างขัดแย้งกับคำชี้แจงของทั้งผู้ใหญ่และคำให้การของคนที่ยอมตกเป็นผู้ต้องสงสัยอย่างสิ้นเชิง!
คำพูดของนายทหารยศพันเอก ท่านนี้กับพรรคพวกสวนทางกับพยานหลักฐานเสียเหลือเกิน ทำเอาอาจารย์สอบสวนชั้นครูกับมือปราบชั้นหัวกะทิ อย่าง พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น. และ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 ผู้กุมบังเหียนควบคุมคดีรวมถึงประชาชนทั้งประเทศงวยงงจนยากจะปักใจเชื่อ
โดยเฉพาะการเข้ามาพบตำรวจในฐานะพยาน ของ นางสภาวัน และ น.ส.พิมพ์พิสุทธิ์ ภู่กลั่น ภรรยาและลูกสาวที่แต่ละคนแปลงกายมาคล้าย “นินจา” และไม่ยอมให้สัมภาษณ์กับนักข่าวด้วยแล้ว ยิ่งทำให้สังคมเกิดข้อกังขา ผู้คนคิดไปได้ต่างๆ นานาว่า ใครเป็น “ตีนผี” ตัวจริงกันแน่???
เวลานี้ตำรวจเองเลยทำได้แค่สงวนท่าทียังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหากับใคร ได้แต่เปิดเผยว่าอาจทำให้พยานหลักฐานอ่อนจนผู้ต้องหา “หลุด” ในชั้นศาลทหารได้ อย่างไรก็ตามความจริงจะกระจ่าง เมื่อผลการตรวจพิสูจน์ทั้งหมดจากกองพิสูจน์หลักฐาน ส่งมาถึงมือพนักงานสอบสวน
ห้วงเวลาที่เหล่าตัวละครพาเหรดกันมาที่โรงพัก แม่แดง ไม่เคยสนใจไปติดตามความคืบหน้าทางคดีเหมือนอย่างที่กองเชียร์คิดไว้ กลับมีความสุขกับการนอนดึกตื่นแต่เช้านั่งรถเมล์ไปเฝ้าลูกสาว ต้อนรับแขกมากหน้าหลายตาที่ทยอยไปให้กำลังใจ “หมอมุก” อย่างล้นหลาม
ท้ายที่สุดปาฏิหาริย์ก็บังเกิดขึ้นเมื่อทุกแรงใจช่วยหนุนส่งให้ “หมอมุก” ที่เคยนอนสงบนิ่งคล้ายเจ้าหญิงนิทรา เริ่มตอบสนองสิ่งเร้า สามารถลืมตา ลุกขึ้นมานั่งส่งยิ้ม ทำกายภาพบำบัด และตักข้าวกินเอง จนแพทย์อนุญาตให้ออกไปรักษาตัวนอกห้องไอซียู และที่สำคัญเจ้าตัวซึ่งเหมือนคนตายไปแล้วเกิดใหม่มีลมหายใจครั้งที่สอง กำลังจะได้เข้าให้การกับตำรวจในฐานะพยานปากเอกเช็คบิลคดีนี้ได้ในที่สุด...
เหนือสิ่งอื่นใด แม่แดง ได้เขียนประวัติ “หมอมุก” คร่าวๆ ด้วยลายมือตัวเองถึง 2 หน้ากระดาษโดยมีใจความตอนหนึ่งว่า
“เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2554 ท่านผู้หญิงฉัตรแก้ว นันทาภิวัฒน์ นางสนองพระโอษฐ์ในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้เป็นตัวแทนพระองค์มาเยี่ยมหมอมุกพร้อมนำดอกไม้และเครื่องใช้ผู้ป่วยซึ่งเป็นของพระราชทาน มามอบให้หมอมุก อีกทั้งยังรับหมอมุก เป็นคนไข้ในพระบรมราชินูปถัมภ์ นับว่าได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เป็นครั้งที่ 2 หลังจากที่พันโท ประสิทธิ์ อิ่มวิทยา ผู้เป็นพ่อสละชีพจากการลอบทำร้ายของผู้ก่อการร้าย นำความปลื้มปิติต่อครอบครัวอิ่มวิทยา อย่างหาที่สุดมิได้”
เชื่อเหลือเกินว่า “ฟ้ามีตา” ความหวังของแม่แดงแค่อยากเห็น “ไอ้โม่ง” ถูกลงทัณฑ์เท่านั้น