พ่อค้าซีดีคลองหลอดขับขี่รถ จยย.ปาดหน้ากับกลุ่มวัยรุ่นที่มาเที่ยวย่านนั้น จนเกิดเหตุวิวาท แล้วยังแอบเข็นรถ จยย.ทิ้งคลอง สร้างความแค้น กลับไปตามพวกขี่ จยย.ดักรอซัด 9 มม.อาการสาหัส 2 ราย ตร.เร่งตรวจสอบทะเบียนรถที่งมมาได้หาคนร้าย
วันนี้ (25 มิ.ย.) เมื่อเวลา 02.30 น.วันที่ ร.ต.อ.จรัส จันสา พงส.(สบ1) สน.ชนะสงคราม รับแจ้งเหตุยิงกันทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส 2 ราย ที่บริเวณข้างศาลฎีกา ฝั่งศาลพระแม่ธรณีบีบมวยผม ถนนราชดำเนินใน แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ แล้วรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อม พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 พ.ต.อ.สุรพงษ์ ชัยจันทร์ รองผบก.น.1 พ.ต.อ.จักรภพ สุคณธราช ผกก.สน.ชนะสงคราม พ.ต.ท.เอกรัตน์ เปาอินทร์ รองผกก.ปป.สน.ชนะสงคราม พ.ต.ท.สมยศ อุดมรักษาทรัพย์ สว.สส.สน.ชนะสงคราม เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.ชนะสงคราม เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน และมูลนิธิร่วมกตัญญู
ที่เกิดเหตุพบเพียงกองเลือดกองใหญ่ ส่วนผู้บาดเจ็บ คือ นายชาคริต สำเภารอด อายุ 21 ปี ถูกยิงด้วยอาวุธปืนขนาด 9 มม.เข้าที่โหนกแก้มซ้าย 1 นัด ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลกลาง อีกราย คือ นายอาร์ท ไม่ทราบชื่อ-นามสกุลจริง ถูกยิงด้วยอาวุธปืนขนาดเดียวกันเข้าที่บริเวณกลางหน้าผาก 1 นัด อาการสาหัส ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลศิริราช แพทย์เร่งช่วยชีวิต
ตรวจสอบบริเวณป้ายรถประจำทาง ริมสนามหลวง ฝั่งตรงข้ามจุดเกิดเหตุ พบปลอกกระสุนขนาด 9 มม.ตกอยู่ จำนวน 2 ปลอก ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ยังได้รับแจ้งว่า มีรถ จยย.ของกลุ่มคนร้ายถูกทิ้งไว้ในคลองหลอด ด้านหลังศาลฎีกา จึงประสานไปยังหน่วยกู้ภัยนำขึ้นมาตรวจสอบ ก็พบว่า เป็นรถ จยย.ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นซีบีอาร์ สีแดง ทะเบียน บพษ 411 กทม.ตรวจสอบใต้เบาะรถพบเสื้อแจ๊กเก็ต สีดำ 1 ตัว จึงเก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน
จากการสอบสวน นายสมร บุราคร อายุ 34 ปี โชเฟอร์แท็กซี่ที่เห็นเหตุการณ์ ทราบว่า ก่อนเกิดเหตุได้จอดรถแท็กซี่รอผู้โดยสารอยู่บริเวณริมสนามหลวง ฝั่งตรงข้ามจุดเกิดเหตุ จนกระทั่งเวลาประมาณ 02.30 น.เห็นคนร้ายเป็นชายสองคนรูปร่างผอม แต่งกายชุดดำทั้งคู่ ขับขี่รถ จยย.แบบผู้หญิงสีดำ ไม่ทราบยี่ห้อ รุ่น และทะเบียน มาชะลออยู่ข้างรถตน ก่อนจะชักปืนลักษณะคล้ายกับแบบไทยประดิษฐ์ขึ้่นมายิงไปฝั่งตรงข้าม จำนวน 2 นัด ไปถูกผู้บาดเจ็บทั้งสองคนจนนอนจมกองเลือด จากนั้นกลุ่มเพื่อนของผู้บาดเจ็บประมาณ 4-5 คน ก็วิ่งถือมีดดาบออกมาไล่ตามคนร้าย แต่ก็ไม่ทัน เพราะคนร้ายเร่งเครื่อง จยย.ขับขี่หลบหนีขึ้นสะพานปิ่นเกล้า
ด้าน นายน้อย (สงวนชื่อนามสกลุ) อายุ 55 ปี พ่อค้าขายของย่านริมคลองหลอด กล่าวว่า กลุ่มผู้บาดเจ็บเป็นพ่อค้าซีดีอยู่ริมคลอดหลอด โดยเมื่อสัปดาห์ก่อน เห็นชายกลุ่มหนึ่งที่อ้างตัวว่าเป็นพวกลิขสิทธิ์มาเก็บเงินจากกลุ่มผู้บาดเจ็บ แต่ก็กลุ่มผู้บาดเจ็บไล่กระทืบจนหนีกลับไป จนกระทั่งก่อนเกิดเหตุ ก็เห็นกลุ่มผู้บาดเจ็บก่อเหตุทะเลาวิวาทกับคนอีกกลุ่มนึ่ง ซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นพวกเดียวกันหรือไม่ หลังจากนั้นไม่นาน ก็ถูกอีกฝ่ายย้อนกลับมายิงใส่จนได้รับบาดเจ็บดังกล่าว
พ.ต.ท.สมยศ กล่าวว่า จากการสอบปากคำพยานพ่อค้าแม่ค้าและญาติผู้บาดเจ็บ ทราบว่า ก่อนเกิดเหตุกลุ่มผู้บาดเจ็บได้ขี่รถ จยย.ปาดหน้ากับกลุ่มคนร้ายที่เดินทางมาเที่ยวริมคลอดหลอด จนมีเรื่องราวจนเกิดเหตุทะเลาะวิวาทมาก่อน จากนั้นกลุ่มคนร้ายก็เดินหนีไปทางฝั่งสะพานเจริญศรี โดยจอดรถ จยย.ของตัวเองทิ้งไว้บริเวณดังกล่าว พร้อมกับตะโกนบอกกลุ่มผู้บาดเจ็บ ว่า จะกลับไปเอาปืน จากนั้นกลุ่มผู้บาดเจ็บได้เข็นรถ จยย.ที่เห็นกลุ่มคนร้ายทิ้งไว้ลงคลองหลอด ต่อมากลุ่มคนร้ายก็ขับขี่รถ จยย.ย้อนมากับเพื่อนจำนวน 3 คัน เมื่อเห็นกลุ่มผู้บาดเจ็บอยู่บริเวณที่เกิดเหตุจึงชักปืนยิงจากฝั่งสนามหลวงแล้วหลบหนีไป ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจสอบหมายเลขทะเบียนรถ จยย.ที่นำขึ้นมาจากคลองหลอด พบว่า เจ้าของรถ จยย.เป็นเจ้าของบริษัทแห่งหนึ่ง โดยจะตรวจสอบอีกว่าใครเป็นคนเอารถ จยย.คันดังกล่าวมาใช้ เพื่อติดตามตัวคนร้ายมาดำเนินคดีต่อไป
วันนี้ (25 มิ.ย.) เมื่อเวลา 02.30 น.วันที่ ร.ต.อ.จรัส จันสา พงส.(สบ1) สน.ชนะสงคราม รับแจ้งเหตุยิงกันทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส 2 ราย ที่บริเวณข้างศาลฎีกา ฝั่งศาลพระแม่ธรณีบีบมวยผม ถนนราชดำเนินใน แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ แล้วรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อม พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 พ.ต.อ.สุรพงษ์ ชัยจันทร์ รองผบก.น.1 พ.ต.อ.จักรภพ สุคณธราช ผกก.สน.ชนะสงคราม พ.ต.ท.เอกรัตน์ เปาอินทร์ รองผกก.ปป.สน.ชนะสงคราม พ.ต.ท.สมยศ อุดมรักษาทรัพย์ สว.สส.สน.ชนะสงคราม เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.ชนะสงคราม เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน และมูลนิธิร่วมกตัญญู
ที่เกิดเหตุพบเพียงกองเลือดกองใหญ่ ส่วนผู้บาดเจ็บ คือ นายชาคริต สำเภารอด อายุ 21 ปี ถูกยิงด้วยอาวุธปืนขนาด 9 มม.เข้าที่โหนกแก้มซ้าย 1 นัด ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลกลาง อีกราย คือ นายอาร์ท ไม่ทราบชื่อ-นามสกุลจริง ถูกยิงด้วยอาวุธปืนขนาดเดียวกันเข้าที่บริเวณกลางหน้าผาก 1 นัด อาการสาหัส ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลศิริราช แพทย์เร่งช่วยชีวิต
ตรวจสอบบริเวณป้ายรถประจำทาง ริมสนามหลวง ฝั่งตรงข้ามจุดเกิดเหตุ พบปลอกกระสุนขนาด 9 มม.ตกอยู่ จำนวน 2 ปลอก ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ยังได้รับแจ้งว่า มีรถ จยย.ของกลุ่มคนร้ายถูกทิ้งไว้ในคลองหลอด ด้านหลังศาลฎีกา จึงประสานไปยังหน่วยกู้ภัยนำขึ้นมาตรวจสอบ ก็พบว่า เป็นรถ จยย.ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นซีบีอาร์ สีแดง ทะเบียน บพษ 411 กทม.ตรวจสอบใต้เบาะรถพบเสื้อแจ๊กเก็ต สีดำ 1 ตัว จึงเก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน
จากการสอบสวน นายสมร บุราคร อายุ 34 ปี โชเฟอร์แท็กซี่ที่เห็นเหตุการณ์ ทราบว่า ก่อนเกิดเหตุได้จอดรถแท็กซี่รอผู้โดยสารอยู่บริเวณริมสนามหลวง ฝั่งตรงข้ามจุดเกิดเหตุ จนกระทั่งเวลาประมาณ 02.30 น.เห็นคนร้ายเป็นชายสองคนรูปร่างผอม แต่งกายชุดดำทั้งคู่ ขับขี่รถ จยย.แบบผู้หญิงสีดำ ไม่ทราบยี่ห้อ รุ่น และทะเบียน มาชะลออยู่ข้างรถตน ก่อนจะชักปืนลักษณะคล้ายกับแบบไทยประดิษฐ์ขึ้่นมายิงไปฝั่งตรงข้าม จำนวน 2 นัด ไปถูกผู้บาดเจ็บทั้งสองคนจนนอนจมกองเลือด จากนั้นกลุ่มเพื่อนของผู้บาดเจ็บประมาณ 4-5 คน ก็วิ่งถือมีดดาบออกมาไล่ตามคนร้าย แต่ก็ไม่ทัน เพราะคนร้ายเร่งเครื่อง จยย.ขับขี่หลบหนีขึ้นสะพานปิ่นเกล้า
ด้าน นายน้อย (สงวนชื่อนามสกลุ) อายุ 55 ปี พ่อค้าขายของย่านริมคลองหลอด กล่าวว่า กลุ่มผู้บาดเจ็บเป็นพ่อค้าซีดีอยู่ริมคลอดหลอด โดยเมื่อสัปดาห์ก่อน เห็นชายกลุ่มหนึ่งที่อ้างตัวว่าเป็นพวกลิขสิทธิ์มาเก็บเงินจากกลุ่มผู้บาดเจ็บ แต่ก็กลุ่มผู้บาดเจ็บไล่กระทืบจนหนีกลับไป จนกระทั่งก่อนเกิดเหตุ ก็เห็นกลุ่มผู้บาดเจ็บก่อเหตุทะเลาวิวาทกับคนอีกกลุ่มนึ่ง ซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นพวกเดียวกันหรือไม่ หลังจากนั้นไม่นาน ก็ถูกอีกฝ่ายย้อนกลับมายิงใส่จนได้รับบาดเจ็บดังกล่าว
พ.ต.ท.สมยศ กล่าวว่า จากการสอบปากคำพยานพ่อค้าแม่ค้าและญาติผู้บาดเจ็บ ทราบว่า ก่อนเกิดเหตุกลุ่มผู้บาดเจ็บได้ขี่รถ จยย.ปาดหน้ากับกลุ่มคนร้ายที่เดินทางมาเที่ยวริมคลอดหลอด จนมีเรื่องราวจนเกิดเหตุทะเลาะวิวาทมาก่อน จากนั้นกลุ่มคนร้ายก็เดินหนีไปทางฝั่งสะพานเจริญศรี โดยจอดรถ จยย.ของตัวเองทิ้งไว้บริเวณดังกล่าว พร้อมกับตะโกนบอกกลุ่มผู้บาดเจ็บ ว่า จะกลับไปเอาปืน จากนั้นกลุ่มผู้บาดเจ็บได้เข็นรถ จยย.ที่เห็นกลุ่มคนร้ายทิ้งไว้ลงคลองหลอด ต่อมากลุ่มคนร้ายก็ขับขี่รถ จยย.ย้อนมากับเพื่อนจำนวน 3 คัน เมื่อเห็นกลุ่มผู้บาดเจ็บอยู่บริเวณที่เกิดเหตุจึงชักปืนยิงจากฝั่งสนามหลวงแล้วหลบหนีไป ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจสอบหมายเลขทะเบียนรถ จยย.ที่นำขึ้นมาจากคลองหลอด พบว่า เจ้าของรถ จยย.เป็นเจ้าของบริษัทแห่งหนึ่ง โดยจะตรวจสอบอีกว่าใครเป็นคนเอารถ จยย.คันดังกล่าวมาใช้ เพื่อติดตามตัวคนร้ายมาดำเนินคดีต่อไป
