โดย เสนาคาม
หลายวันที่ผ่านมา ใครที่ช่างสังเกตสังกา ก็คงจะเห็นลีลาอารมณ์ในแบบ “ลมบ่จอย” อยู่บ่อยๆ ของคนชื่อ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” เกิดอะไรขึ้นกับพรรคประชาธิปัตย์ หรือกับคนรอบข้างของ”สุเทพ เทือกสุบรรณ”อย่างนั้นหรือ?
แน่นอน...ถ้าให้เดาในสถานการณ์สู้รบอย่างนี้ ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องเลือกตั้งนั่นแหละ!!!
คงยังจำกันได้ว่า ใครที่ไปพูดคำโตเอาไว้มากมายจะได้เสียงเกินเท่านั้นเท่านี้ แต่พอมีคนออกมาเบรก ถึงแม้จะเป็นคนในพรรคด้วยกันเองก็เถอะ ยังถูกเกรี้ยวกราดเข้าใส่... ไล่ให้ไปหาปี๊บรอเตรียมเอาไว้คลุมหัวหลังเลือกตั้ง...
แต่ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน โพลล์สำนักต่างๆ ก็ทยอยเปิดกันออกมา ซึ่งไม่ว่าสำนักไหนต่างก็รายงานผลตรงกันว่า ประชาธิปัตย์นั้น “แพ้”เพื่อไทย!!! แบบหลุดลุ่ยในสนามกรุงเทพฯ
ล่าสุดเปิดออกมาอีกสดๆ ร้อนๆ ในวันนี้( 10 มิ.ย.) เป็นโพลล์เนชั่น ซึ่งร่วมกับมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ และเป็นการสำรวจครั้งที่ 2 ปรากฏว่า ประชาธิปัตย์ ยังแพ้เพื่อไทยอยู่หลุดลุ่ย 6 เขต ต่อ 18 เขต ส่วนอีก 9 เขต คะแนนยังสูสี เช่นเดียวกับคะแนนนิยมพรรค พบว่า เพื่อไทย อยู่ที่ร้อยละ 47 ส่วนประชาธิปัตย์ อยู่ที่ร้อยละ 39 ที่เหลืออีกร้อยละ 14 เป็นพรรคอื่นๆ
ก่อนหน้าที่ผลโพลล์ล่าสุดจะออกมา มีผู้ใหญ่คนหนึ่งในพรรคประชาธิปัตย์ เรียกนักการเมืองอาวุโสของพรรคในย่านฝั่งธนบุรี ไปสอบถามถึงกระแสในพื้นที่ว่าเป็นอย่างไรบ้าง โดยโฟกัสไปยังพื้นที่ที่มีการเปลี่ยนตัวผู้สมัคร โดยเฉพาะในเขตที่ 28 - 29 ซึ่งในจำนวนนี้มี ”ลูกบุญธรรม” ของสุเทพลงสมัครด้วย
คำตอบที่ได้คือ...อาการอยู่ในระดับเข้าขั้นโคม่า! และจากอารมณ์ค้างของผู้คนในพื้นที่ ซึ่งไม่แฮปปี้กับการ “เปลี่ยนม้ากลางศึก” ทำให้ลุกลามไปยังพื้นที่เขตอื่นๆ ด้วย...พูดภาษาชาวบ้านก็คือ ผู้อาวุโสย่านฝั่งธนฯ บอกกับผู้ใหญ่คนนั้นไปว่า “ผมเองยังเดือดร้อนไปด้วยเลยครับ!!”
แค่นี้ก็คงพอได้คำตอบกันแล้วว่า...ทำไม “สุเทพ” ถึงเกิดอาการลมบ่จอย!
เอาเป็นว่า...หากประชาธิปัตย์ จะพ่ายแพ้เลือกตั้งในสนามกรุงเทพฯ เที่ยวนี้จริงๆ อย่างที่โพลล์หลายๆ สำนักว่าเอาไว้ ก็คงหนีไม่พ้นเกิดจากเหตุผล 2-3 ประการ ดังนี้
อย่างแรกเลย คือ สิ่งที่”สุเทพ”พูดถึงวันละ 3 เวลาหลังอาหารนั่นแหละว่า “ทำไมต้องไปเลือกพรรคที่คนเผาบ้านเผาเมืองเข้ามา” ซึ่งก็ไม่มีใครไปชื่นชมว่าคนเผาเมืองนั้นดี หรือวิเศษ แต่เพราะคนเขาข้องใจรัฐบาลที่บริหารประเทศอยู่ในขณะนั้นมากกว่าว่า “ทำไมถึงอ่อนแอนัก มีอำนาจอยู่ในมือแท้ๆ แต่กลับปล่อยให้มีการเผาบ้านเผาเมืองเกิดขึ้นได้”
กล่าวคือ ผิดทั้งคนเผา และคนที่ปล่อยให้เผา แต่คนที่ปล่อยให้เผา มีความผิดมากกว่า...
ตรงนี้แหละ...ที่คนกรุงเทพฯ จะลงโทษด้วยการไม่ลงคะแนนให้!!!
หรือแม้แต่การตอบคำถามเรื่อง”ของแพง” ของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ที่ใช้คำพูดท่องจำแบบเดิมๆ ไม่เว้นแต่ละวันว่า “มันเป็นกันทั้งโลก”นั้น
ในวันแรกๆ คำตอบแบบนี้อาจจะพอฟังได้บ้าง แต่พอนานวันเข้า ก็จะทำให้เกิดคำถามตามมาว่า บ้านอื่นเมืองอื่น ประเทศอื่นนั้น ข้าวของเขาแพงก็จริง หากแต่มันมีเหตุมีผลในตัวของมันเองอยู่ แต่สำหรับบ้านเรานั้น ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งผลิตอาหาร และเกือบจะเป็นครัวโลกอยู่แล้ว
เป็นประเทศที่ผลิตปาล์มน้ำมันส่งออกแท้ๆ แต่กลับปล่อยให้น้ำมันปาล์มราคาแพง แถมยังไม่มีขาย และถึงขั้นต้องเข้าแถวตบตีแย่งกันซื้ออีกด้วย...
ตรงนี้ต่างหากที่มันสะท้อนถึงปัญญาความสามารถ และประสิทธิภาพในการบริหารจัดการของรัฐบาล ว่ามีอยู่มากน้อยขนาดไหน?! และสมควรจะได้รับการลงโทษ ด้วยการไม่ลงคะแนนให้หรือไม่?
สุดท้ายการออกมาของ 2 คู่หู “แก้วสรร-หมอตุลย์” ที่เรียกร้องให้เอาผิดกับ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เรื่องให้การเท็จในคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้น แม้ทั้งสองคนจะไม่ใช่คนของพรรคประชาธิปัตย์แบบร้อยเปอร์เซนต์ แต่ว่าล้านเปอร์เซ็นต์นั้น ทั้งคู่ได้ชื่อว่าเป็น”อริเก่า”กับทักษิณแน่ๆ
และยิ่งออกมาในสถานการณ์แบบนี้ด้วยแล้ว จึงไม่มีเหตุผลเป็นอย่างอื่นไปได้ นอกจากต้องการ”กระทืบ”คนที่เป็นคู่แข่งของพรรคประชาธิปัตย์ให้จมธรณี โดยที่พรรคประชาธิปัตย์จะรู้เห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม
แต่บังเอิญว่า... หนึ่ง ”ยิ่งลักษณ์” นั้น เป็นผู้หญิง และถูกผู้ชาย 2 คน รุมกระทืบ!! สอง ข้อมูลที่นำออกมาเปิดเผยก็เป็น”ข้อมูลเก่า” ซึ่งหากมองในแง่ของตลาดฯ ก็นับได้ว่า ตลาดได้รับรู้ข้อมูลนั้นไปเต็มๆ แล้ว จึงไม่มีผลในเชิงจิตวิทยาต่อตลาดเพิ่มมากนัก
ดังนั้น การขับเคลื่อนเรื่องนี้ของ ”แก้วสรร-หมอตุลย์” จึงค่อนข้างสุ่มเสี่ยงที่จะเป็นบูมเมอแรง กลับไปยังพรรคประชาธิปัตย์ หากไม่สามารถแยกแยะ หรือบริหารอารมณ์ของสังคมให้ดี...
นี่คือตัวอย่างเล็กๆ บางส่วนที่จะเป็นคำตอบให้กับพรรคประชาธิปัตย์ หลังวันที่ 3 กรกฎาคมว่า ทำไมต้องแพ้พรรคเพื่อไทยในสนามกรุงเทพฯ ครับ
หลายวันที่ผ่านมา ใครที่ช่างสังเกตสังกา ก็คงจะเห็นลีลาอารมณ์ในแบบ “ลมบ่จอย” อยู่บ่อยๆ ของคนชื่อ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” เกิดอะไรขึ้นกับพรรคประชาธิปัตย์ หรือกับคนรอบข้างของ”สุเทพ เทือกสุบรรณ”อย่างนั้นหรือ?
แน่นอน...ถ้าให้เดาในสถานการณ์สู้รบอย่างนี้ ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องเลือกตั้งนั่นแหละ!!!
คงยังจำกันได้ว่า ใครที่ไปพูดคำโตเอาไว้มากมายจะได้เสียงเกินเท่านั้นเท่านี้ แต่พอมีคนออกมาเบรก ถึงแม้จะเป็นคนในพรรคด้วยกันเองก็เถอะ ยังถูกเกรี้ยวกราดเข้าใส่... ไล่ให้ไปหาปี๊บรอเตรียมเอาไว้คลุมหัวหลังเลือกตั้ง...
แต่ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน โพลล์สำนักต่างๆ ก็ทยอยเปิดกันออกมา ซึ่งไม่ว่าสำนักไหนต่างก็รายงานผลตรงกันว่า ประชาธิปัตย์นั้น “แพ้”เพื่อไทย!!! แบบหลุดลุ่ยในสนามกรุงเทพฯ
ล่าสุดเปิดออกมาอีกสดๆ ร้อนๆ ในวันนี้( 10 มิ.ย.) เป็นโพลล์เนชั่น ซึ่งร่วมกับมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ และเป็นการสำรวจครั้งที่ 2 ปรากฏว่า ประชาธิปัตย์ ยังแพ้เพื่อไทยอยู่หลุดลุ่ย 6 เขต ต่อ 18 เขต ส่วนอีก 9 เขต คะแนนยังสูสี เช่นเดียวกับคะแนนนิยมพรรค พบว่า เพื่อไทย อยู่ที่ร้อยละ 47 ส่วนประชาธิปัตย์ อยู่ที่ร้อยละ 39 ที่เหลืออีกร้อยละ 14 เป็นพรรคอื่นๆ
ก่อนหน้าที่ผลโพลล์ล่าสุดจะออกมา มีผู้ใหญ่คนหนึ่งในพรรคประชาธิปัตย์ เรียกนักการเมืองอาวุโสของพรรคในย่านฝั่งธนบุรี ไปสอบถามถึงกระแสในพื้นที่ว่าเป็นอย่างไรบ้าง โดยโฟกัสไปยังพื้นที่ที่มีการเปลี่ยนตัวผู้สมัคร โดยเฉพาะในเขตที่ 28 - 29 ซึ่งในจำนวนนี้มี ”ลูกบุญธรรม” ของสุเทพลงสมัครด้วย
คำตอบที่ได้คือ...อาการอยู่ในระดับเข้าขั้นโคม่า! และจากอารมณ์ค้างของผู้คนในพื้นที่ ซึ่งไม่แฮปปี้กับการ “เปลี่ยนม้ากลางศึก” ทำให้ลุกลามไปยังพื้นที่เขตอื่นๆ ด้วย...พูดภาษาชาวบ้านก็คือ ผู้อาวุโสย่านฝั่งธนฯ บอกกับผู้ใหญ่คนนั้นไปว่า “ผมเองยังเดือดร้อนไปด้วยเลยครับ!!”
แค่นี้ก็คงพอได้คำตอบกันแล้วว่า...ทำไม “สุเทพ” ถึงเกิดอาการลมบ่จอย!
เอาเป็นว่า...หากประชาธิปัตย์ จะพ่ายแพ้เลือกตั้งในสนามกรุงเทพฯ เที่ยวนี้จริงๆ อย่างที่โพลล์หลายๆ สำนักว่าเอาไว้ ก็คงหนีไม่พ้นเกิดจากเหตุผล 2-3 ประการ ดังนี้
อย่างแรกเลย คือ สิ่งที่”สุเทพ”พูดถึงวันละ 3 เวลาหลังอาหารนั่นแหละว่า “ทำไมต้องไปเลือกพรรคที่คนเผาบ้านเผาเมืองเข้ามา” ซึ่งก็ไม่มีใครไปชื่นชมว่าคนเผาเมืองนั้นดี หรือวิเศษ แต่เพราะคนเขาข้องใจรัฐบาลที่บริหารประเทศอยู่ในขณะนั้นมากกว่าว่า “ทำไมถึงอ่อนแอนัก มีอำนาจอยู่ในมือแท้ๆ แต่กลับปล่อยให้มีการเผาบ้านเผาเมืองเกิดขึ้นได้”
กล่าวคือ ผิดทั้งคนเผา และคนที่ปล่อยให้เผา แต่คนที่ปล่อยให้เผา มีความผิดมากกว่า...
ตรงนี้แหละ...ที่คนกรุงเทพฯ จะลงโทษด้วยการไม่ลงคะแนนให้!!!
หรือแม้แต่การตอบคำถามเรื่อง”ของแพง” ของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ที่ใช้คำพูดท่องจำแบบเดิมๆ ไม่เว้นแต่ละวันว่า “มันเป็นกันทั้งโลก”นั้น
ในวันแรกๆ คำตอบแบบนี้อาจจะพอฟังได้บ้าง แต่พอนานวันเข้า ก็จะทำให้เกิดคำถามตามมาว่า บ้านอื่นเมืองอื่น ประเทศอื่นนั้น ข้าวของเขาแพงก็จริง หากแต่มันมีเหตุมีผลในตัวของมันเองอยู่ แต่สำหรับบ้านเรานั้น ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งผลิตอาหาร และเกือบจะเป็นครัวโลกอยู่แล้ว
เป็นประเทศที่ผลิตปาล์มน้ำมันส่งออกแท้ๆ แต่กลับปล่อยให้น้ำมันปาล์มราคาแพง แถมยังไม่มีขาย และถึงขั้นต้องเข้าแถวตบตีแย่งกันซื้ออีกด้วย...
ตรงนี้ต่างหากที่มันสะท้อนถึงปัญญาความสามารถ และประสิทธิภาพในการบริหารจัดการของรัฐบาล ว่ามีอยู่มากน้อยขนาดไหน?! และสมควรจะได้รับการลงโทษ ด้วยการไม่ลงคะแนนให้หรือไม่?
สุดท้ายการออกมาของ 2 คู่หู “แก้วสรร-หมอตุลย์” ที่เรียกร้องให้เอาผิดกับ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เรื่องให้การเท็จในคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้น แม้ทั้งสองคนจะไม่ใช่คนของพรรคประชาธิปัตย์แบบร้อยเปอร์เซนต์ แต่ว่าล้านเปอร์เซ็นต์นั้น ทั้งคู่ได้ชื่อว่าเป็น”อริเก่า”กับทักษิณแน่ๆ
และยิ่งออกมาในสถานการณ์แบบนี้ด้วยแล้ว จึงไม่มีเหตุผลเป็นอย่างอื่นไปได้ นอกจากต้องการ”กระทืบ”คนที่เป็นคู่แข่งของพรรคประชาธิปัตย์ให้จมธรณี โดยที่พรรคประชาธิปัตย์จะรู้เห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม
แต่บังเอิญว่า... หนึ่ง ”ยิ่งลักษณ์” นั้น เป็นผู้หญิง และถูกผู้ชาย 2 คน รุมกระทืบ!! สอง ข้อมูลที่นำออกมาเปิดเผยก็เป็น”ข้อมูลเก่า” ซึ่งหากมองในแง่ของตลาดฯ ก็นับได้ว่า ตลาดได้รับรู้ข้อมูลนั้นไปเต็มๆ แล้ว จึงไม่มีผลในเชิงจิตวิทยาต่อตลาดเพิ่มมากนัก
ดังนั้น การขับเคลื่อนเรื่องนี้ของ ”แก้วสรร-หมอตุลย์” จึงค่อนข้างสุ่มเสี่ยงที่จะเป็นบูมเมอแรง กลับไปยังพรรคประชาธิปัตย์ หากไม่สามารถแยกแยะ หรือบริหารอารมณ์ของสังคมให้ดี...
นี่คือตัวอย่างเล็กๆ บางส่วนที่จะเป็นคำตอบให้กับพรรคประชาธิปัตย์ หลังวันที่ 3 กรกฎาคมว่า ทำไมต้องแพ้พรรคเพื่อไทยในสนามกรุงเทพฯ ครับ