กองปราบฯ ตามรวบสาวใหญ่ เปิดบริษัทอ้างทุนจดทะเบียน 5 พันล้าน ทำทีติดต่อทำสัญญาซื้อสินค้า เครื่องเพชร ข้าว ปุ้ย น้ำตาล โดยอ้างติดต่อผ่านนักการเมืองหลอกให้เหยื่อเชื่อใจแล้วจ่ายเช็คเด้งให้ มูลค่าความเสียหายกว่า 150 ล้าน ขณะที่ผู้ต้องหาบอกไม่ได้โกงเหยื่อ สามารถชี้แจงได้ทุกกรณี เผยมี พล.อ.นามสกุลดังหลงเชื่อเป็นที่ปรึกษาและช่วยติดต่อประสานงานในการทำธุรกิจให้กับผู้ต้องหาด้วย
วันนี้ (8 มิ.ย.) เมื่อเวลา 14.00 น. ที่กองปราบปราม พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รอง ผบก.ป.และ พ.ต.อ.ปิยะ เจริญสุข ผกก.1 บก.ป.ร่วมแถลงข่าวจับกุม นางนาฏศิลป์ เรืองแสน อายุ 45 ปี อดีตผู้บริหารบริษัท เซเว่น เบรน (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดธัญบุรี ที่ 448/2554 ลงวันที่ 12 พ.ค.2554 ข้อหากระทำความผิดฐานออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฏหมาย โดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค ออกเช็คให้ใช้เงินมีจำนวนสูงกว่าจำนวนเงินที่มีอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้ในขณะออกเช็คนั้นและธนาคารปฏิเสธการจ่ายเช็คนั้น และหมายจับของท้องที่ต่างๆอีกประมาณ 20 หมาย โดยจับกุมได้ภายในปั๊มน้ำมันซัสโก้ ต.บึงคำพล้อย อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี
พ.ต.อ.ประสพโชคกล่าวว่า ก่อนหน้านี้มีผู้ประกอบการหลายรายที่จำหน่ายสินค้า เช่น เครื่องเพชร ข้าว ปุ๋ย น้ำตาล โทรศัพท์มือถือ และที่ดิน เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนกองปราบปรามให้ช่วยติดตามจับกุมตัวนางนาฏศิลป์ หลังเปิดบริษัทเซเว่น เบรน (ประเทศไทย) มีทุนจดทะเบียน 5,000 ล้านบาท ที่ทำทีมาติดต่อซื้อขายสินค้าจากผู้เสียหาย โดยผู้ต้องหาจะติดต่อผ่านอดีตนักการเมืองและผู้ใหญ่ในแวดวงราชการเพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ และเกิดความเกรงใจเพราะผู้ใหญ่ฝากมา ซึ่งผู้ประกอบการหลายรายหลงเชื่อทำสัญญาซื้อขายกัน จากนั้นผู้ต้องหาได้จ่ายเช็คให้ แต่เมื่อผู้เสียหายพาไปขึ้นเงินปรากฏว่าไม่สามารถขึ้นเงินได้ โดยเหตุเกิดตั้งแต่ปี 2547 รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 150 ล้านบาท
น.ส.สินีนาถ เตชะสุริโย เจ้าของร้านเพชรย่านราชประสงค์ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมา นางนาฏศิลป์ได้มาซื้อเพชรกับคุณนายคนหนึ่งที่เป็นลูกค้าประจำของร้านตน โดยมาเลือกซื้อเหวนเพชร แหวนมรกต จี้มรกต และสร้อยคอเพชร จำนวน 4 รายการ รวมมูลค่า 2.4 ล้านบาท โดยผู้ต้องหาขอจ่ายเป็นเช็ค พร้อมทั้งพูดจาหว่านล้อมต่างๆ นานา ด้วยความเกรงใจเพราะคุณนายคนดังกล่าวเคยซื้อขายกันมานานจึงยอมรับเช็ค วันถัดมาได้พาเช็คไปขึ้นเงินแต่ถูกธนาคารปฏิเสธ ต่อมาได้โทรศัพท์ไปสอบถามผู้ต้องหา แต่เจ้าตัวบอกว่าจะรีบมาเคลียร์ให้ แต่ก็ไม่มา จากนั้นได้โทร.ไปอีก แต่ผู้ต้องหากลับไม่รับสายจึงโทรศัพท์ไปสอบถามคุณนายคนดังกล่าวแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ จึงเข้าแจ้งความที่ สภ.ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ กระทั่งเจ้าหน้าที่ตามจับกุมดังกล่าว
ด้าน นายอนุชา พัฒนนิติศักดิ์ เจ้าของโรงงานฟูก ใน อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร กล่าวว่า เมื่อเดือนมิถุนายน 2553 ได้ ประกาศขายโรงงาน เนื่องจากเป็นหนี้กับทางธนาคาร ระหว่างนั้นนางนาฏศิลป์ได้เดินทางมาติดต่อขอซื้อโรงงาน โดยตกลงราคากันที่ 16 ล้านบาท แต่ตนมีหนี้อยู่ 11.7 ล้านบาท ซึ่งนางนาฏศิลป์รับปากว่าจะไปเจรจาจ่ายหนี้กับทางธนาคารให้ และจ่ายเงินส่วนต่างที่เหลือ 4.3 ล้านบาทให้ โดยเงินก้อนแรกจ่ายเป็นค่ามัดจำ 3 แสนบาท โดยสั่งจ่ายเป็นเช็ค และสามารถนำไปขึ้นเงินได้วันที่ 10 ก.พ. 2554 ส่วนเงินที่เหลืออีก 4 ล้านบาท นางนาฏศิลป์ก็ขอจ่ายให้เป็นเช็ครายเดือน เดือนละ 1 ล้านบาทจนครบวงเงิน อย่างไรก็ตามระหว่างนั้น นางนาฏศิลป์ได้ให้คนงานมาขนเฟอร์นิเจอร์มูลค่ากว่า 3 หมื่นบาทในโรงงานออกไปโดยอ้างว่าจะเอาของใหม่มาเปลี่ยนให้
นายอนุชากล่าวต่อว่า จากนั้นไม่นานผู้ต้องหาได้นำรถยนต์ 2 คันของทางโรงงานออกไปอีก และเมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา นางนาฏศิลป์ได้บอกขายโครงสร้างของโรงงานให้กับผู้รับเหมารายหนึ่ง และมีการมารื้อถอนโครงสร้างของโรงงาน ซึ่งตนได้มีการไปยับยั้งการรื้อถอน แต่ผู้รับเหมาก็ยังคงรื้อถอนโดยอ้างว่าจ่ายเงินให้กับนางนาฏศิลป์ไปแล้ว จึงเข้าแจ้งความไว้ที่ สภ.บ้านแพ้ว จากนั้นเมื่อถึงกำหนดนำเช็คไปขึ้นเงินปรากฎว่าเช็คเด้ง จึงทวงถามกับนางนาฏศิลป์ แต่ก็พูดจาผัดผ่อนเรื่อยมา ส่วนเช็คฉบับอื่นก็ไม่สามารถนำไปขึ้นเงินได้เช่นกัน ซึ่งมูลค่าทรัพย์สินที่ถูกนางนากศิลป์หลอกไปนั้นจำนวนกว่า 5,050,000 บาท
สอบสวนนางนาฏศิลป์ ผู้ต้องหาให้การว่าสามารถชี้แจงได้ทุกกรณี ตนไม่ได้โกงผู้เสียหาย นอกจากนี้ยังมีคดีอยู่ในชั้นศาลหลายคดี เช่น เรื่องโกงปุ๋ย 125 ล้าน โดยตนสั่งปุ๋ยเกรดเอ แต่เจ้าของโรงงานกลับนำปุ๋ยเกรดซีลบมาให้ จึงทำให้มีปัญหากัน ส่วนเรื่องเพชรตนยอมรับว่าไปซื้อจริงแต่ผ่านนายหน้า โดยซื้อมาในราคา 2.4 ล้านบาท แต่เมื่อไปให้โรงรับจำนำตีราคาปรากฏว่าโรงรับจำนำตีให้แค่ 8.2 แสนบาทเท่านั้น ตนจึงปฏิเสธจ่ายเงินให้ อย่างไรก็ตาม คดีที่ตนถูกฟ้องร้องนั้นได้ตกลงกับคู่กรณีในชั้นศาลแล้ว 80 เปอร์เซ็นต์
พ.ต.อ.ประสพโชคกล่าวด้วยว่า อยากฝากประชาสัมพันธ์ให้ผู้เสียหายที่ถูกนางนาฏศิลป์ หลอกลวงเข้าแจ้งความเพิ่มเติมได้ตลอดเวลา ส่วนผู้ต้องหาได้ส่งตัวให้พนักงานสอบวนบสวน สภ.ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ ดำเนินคดีต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า พฤติกรรมของผู้ต้องหารายนี้จะเข้าไปตีสนิทกับผู้ใหญ่ โดยมีนายทหารยศพลเอกนามสกุลดังรายหนึ่งหลงเชื่อยอมเป็นที่ปรึกษา และช่วยติดต่อประสานงานในการทําธุรกิจกับกลุ่มผู้เสียหาย ทําให้ผู้เสียหายหลงเชื่อยอมทําสัญญาซื้อขายกันโดยมีเงินมัดจำ หรือไม่ต้องมีเงินมัดจำแล้วแต่กรณี โดยจะนัดพบกันที่โรงแรมต่างๆ และใช้ความเป็นเลขาธิการพรรครักถิ่นไทย จัดประชุมกรรมการบริหารพรรค ขณะเดียวกันก็จะนัดผู้เสียหายแต่ละรายด้วยเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ซึ่งนอกจากหมายจับคดีฉ้อโกง ยังมีหมายจับติดตัวอีกหลายคดี อาทิ ออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คและธนาคารปฏิเสธ ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน
ต่อมา ผู้สื่อข่าวได้รับการชี้แจงจากนายสัญญา ศุกระศร ซึ่งระบุว่า เป็นอดีตเลขาธิการพรรครักถิ่นไทยว่า นางนาฏศิลป์ ไม่เคยดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรค และกรรมการบริหารพรรคแต่อย่างใด เพียงแต่เคยเป็นสมาชิกของพรรคคนหนึ่งเท่านั้น