ยาเสพติดเป็นปัญหาใหญ่มากและเรื้อรังมานาน ทำให้ประชาชนทุกข์ใจในทุกสมัย กับคำถามที่ว่า "จะทำอย่างไรไม่ให้ปัญหานี้ทำลายทั้งครอบครัว ลูกหลาน ทำลายสังคม และสุดท้ายทำลายความมั่นคงของประเทศ ซึ่งเมื่อรัฐบาล "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" นายกรัฐมนตรีเข้ามาบริหารประเทศได้วางนโยบายปราบปรามยาเสพติดไว้ชัดเจนภายใต้สโลแกนโครงการ 5 รั้ว ประกอบด้วย "รั้วชายแดน-ชุมชน-สังคม-โรงเรียน-ครอบครัว" อีกทั้ง นายกฯ "มาร์ค" ได้โปรยยาหอมให้ความหวังด้วยว่า
รัฐบาลนี้ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยจะทำในรูปแบบครบวงจร เน้นในการป้องกัน การบำบัด ควบคู่การปราบปรามอย่างจริงจัง นั่นหมายถึงจะให้ความเป็นพิเศษในเรื่องของการปราบปราม และจะไม่ปล่อยปละละเลยกับการป้องกันไม่ให้ลูกหลาน คนในครอบครัวเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด
ความจริงใจในการกวาดล้างยาเสพติดของรัฐบาลนายกฯ "มาร์ค" ยังได้กระตือรือร้นสั่งการสายตรงถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และมีการประชุมมอบนโยบายผ่านระบบคอนเฟอร์เรนซ์ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศร่วมมือกันทุกฝ่ายเร่งปราบปราบ กวาดล้างขบวนการค้ายาให้หมดไป ยิ่งทำให้ประชาชนมีความคาดหวังว่าความทุเลาเบาบางกับภัยยาเสพติดคงจะจางหายไปแน่นอน?? และจะเป็นผลดีได้เห็นผลงานรัฐบาลชุดนี้
กับความขึงขังดับ สกัดกั้น ปิดล้อมจับกุมเครือข่ายค้ายาเสพติดต่อเนื่องมาตลอด แต่ผลการทำงานของหน่วยงานรัฐกลับยังไม่เป็นที่น่าประทับใจ หรือเข้าตา นายกฯ "อภิสิทธิ์" โดยในวันแถลงผลงานในช่วง 2 ปี นายก "อภิสิทธิ์" ได้ย้ำถึงผลการปราบปรามยาเสพติด ว่า
“ทำมา 2 ปี คงจำได้ที่ผมแถลงผลงานในช่วง 2 ปี ยอมรับว่ายังไม่พอใจในเรื่องนี้ เหตุที่ยังไม่พอใจในเรื่องนี้เพราะประชาชนไม่พอใจ ยังได้รับเรื่องร้องเรียนมาตลอดว่าปัญหายาเสพติดยังมีระบาดอยู่ มีการพัฒนาไป เข้ามายุ่งเกี่ยวกับลูกหลานจำนวนมาก"
นั่นคือถ้อยแถลงตอนหนึ่งที่นายกฯ "อภิสิทธิ์" ยังต้องการจี้ให้ทุกหน่วยงานตื่น และไม่อยู่กับเกียร์ว่าง แต่ควรปฏิบัติหน้าที่ให้เข้มข้นกว่าที่เป็นอยู่ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการจะเอาชนะปัญหายาเสพติดไม่ง่ายดั่งที่คิด แต่หากเจ้าหน้าที่รัฐยังปล่อยมือ เมินเฉยกับปัญหาที่สะสมมานาน ก็ยิ่งจะเอาชนะขบวนการค้ายาเสพติดไม่ได้ ซึ่งทุกฝ่ายต้องทำงานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพื่อให้เกิดความไม่หยุดนิ่งกับเรื่องนี้ตลอดเวลา
ภายหลังที่ นายกฯ "อภิสิทธิ์" ออกมาสั่งการกำชับให้ตำรวจกวดขัน ปัญหาการแพร่ระบาดของตู้ม้าและยาเสพติด "บิ๊กน้อย" พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ขานรับโยบายดังกล่าวทันที โดยได้สั่งการให้ทุกหน่วยป้องกันปราบปรามอาชญากรรม อบายมุข ยาเสพติด พร้อมย้ำว่าหากเจ้าหน้าที่ตำรวจคนใดบกพร่องในการทำงาน หรือท้องที่ใดปล่อยปะละเลยให้มีตู้ม้า หรือยาเสพติด ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบท้องที่นั้นต้องรับผิดชอบ พร้อมกำชับให้ตำรวจท้องที่เก็บข้อมูล สแกน เอ็กซเรย์พื้นที่เป้าหมายที่มีการระบาดมากขึ้น โดยให้เข้าปิดล้อมตรวจค้นชุมชนเป้าหมายทั่วประเทศ เพื่อเป็นการสกัดกั้นไม่ให้เป็นแหล่งแพร่ระบาดยาเสพติด รวมถึงป้องกันการนำเข้า การผลิต ทั้งในและนอกประเทศโดยให้ตรวจสอบกลุ่มคนต่างชาติที่มีแนวโน้มนำยาเสพติดเข้าประเทศ ให้ผู้บังคับบัญชากวดขันดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาและครอบครัวไม่ให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด
แม้ว่าเจ้าหน้าที่ได้ประกาศเจตนารมณ์ในการปราบปรามยาเสพติดอย่างเข้มข้นก็ตาม แต่ขบวนการค้ายาเสพติดยังคงฮึกเหิมที่จะลักลอบขนยาอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย ยังเดินหน้าค้ายาเย้ยฝีมือเจ้าหน้าที่รัฐกันต่อไป ขณะเดียวกันผู้เสพยาเสพติด ยิ่งมีทวีมากขึ้น เมื่อหาซื้อยาง่าย ผู้เสพก็มีเพิ่มขึ้น โดยจะเห็นได้จากพิษยาบ้าที่ทำให้คนกลายเป็นฆาตกรได้ เมื่อเสพติดแล้ว ร่างกายและจิตใจได้กลับกลายไปเป็นคนบ้า ดั่งเช่นยาบ้าที่เสพเข้าสู่ร่างกาย จนมีข่าวให้เห็นถึงความน่ากลัวของนักเสพยาบ้า ที่คลุ้มคลั่งเมื่อเสพยาเข้าไป จนเป็นเหตุให้ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ นำพาไปสู่การก่อคดีสะเทือนขวัญกับบุพพการี คนในครอบครัว และสังคมแวดล้อม
โดยขอย้อนให้เห็นผลร้าย ของการเสพยาบ้าที่เกิดคดีขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี โดยหลานชาย ชื่อนายเฉลิมพล เปรมสุขสวัสดิ์ อายุ 30 ปี ติดยาบ้าจนเป็นโรคประสาท ขอเงินปู่เพื่อไปซื้อยาบ้าไม่ได้ เลยฆ่าตัดคอปู่ คือนายประวิทย์ เปรมสุขสวัสดิ์ อายุ 76 ปี นอนตายจมกองเลือดอย่างโหดเหี้ยม เมื่อสืบประวัติพบว่านักเสพยาบ้ารายนี้เคยติดคุก ค้ายาและติดยางอมแงม อีกทั้งเพิ่งพ้นโทษออกมาแล้วก่อเหตุซ้ำ ซึ่งชาวบ้านย่านนั้นให้รายละเอียดว่า "นายเฉลิมพล" ชอบทุบตีปู่ เพราะไม่พอใจที่ไม่ให้เงินไปซื้อยาบ้า โดยเคยฆ่าหั่นศพแมว - หมาจนเกลี้ยงบ้านมาแล้ว
อีกรายเป็นเหตุสะเทือนใจที่ลูกสาววัย 22 ปี เมายาบ้าแล้วคลั่ง ตีแม่ตัวเองจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ซึ่งเหตุเกิดภายในซอยสมบูรณ์พัฒนาประชาสงเคราะห์ 47 ผู้ก่อเหตุคือ น.ส.สุวิมล ทองภูมิ อายุ 22 ปี ได้ทุบตี นางวิไล รักชาติประเสริฐ อายุ 50 ปี มารดา จากเหตุเพียงแค่ผู้เป็นแม่ต่อว่าเรื่องชอบเสพยาบ้า จึงทำให้สิงห์ขี้ยาสาวไม่พอใจจนเกิดการทะเลาะรุนแรง จนขี้ยาสาวซึ่งกำลังเมายาเต็มที่ใช้กระปุกออมสินฟาดหัวแม่แตกเลือดอาบ ขณะเกิดเหตุชาวบ้านได้เข้ามาช่วยกันห้ามปรามแต่ขี้ยาสาวได้ใช้กรรไกร แทงจนได้รับบาดเจ็บกันระนาว เมื่อถูกจับส่งตำรวจ เจ้าตัวสารภาพสามีเป็นผู้แนะนำให้เสพยาบ้า และต่อมาได้เลิกรากันไป จึงเกิดความเครียดและหันมาเสพยาหนักขึ้น จนเป็นโรคประสาท
ส่วนนายเมท (นามสมมติ) อายุ 17 ปี หนุ่มนครศรีธรรมราช ก็ทำตัวเป็นลูกทรพีเช่นกัน ขณะอยู่ภายในบ้านพื้นที่ ต.มะม่วงสองต้น อ.เมือง จ.นครศรี ได้เมายาเสพติดและอาละวาดทุบตีพ่อและแม่ วัย 50 ปี อย่างหนักจนศรีษะพ่อบวมปูดเท่ากำปั้น และมีแผลแตกเลือดไหล ส่วนแม่ก็ร่างกายช้ำบวมหลายแห่ง ซึ่งขณะถูกจับกุมสวมใส่กุญแจมือ "นายเมท" โจ๋ขี้ยายังไม่หมดฤทธิ์ พยายามดิ้นรนทำร้ายคนรอบข้างและตะโกนด่าทอหยาบคายตลอดเวลา พร้อมข่มขู่หากตัวเองพ้นโทษออกมาจะตามฆ่าให้หมดทุกคน โดยพ่อนายเมท ได้ให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่านายเมท ลูกชายติดยาเสพติดอย่างหนัก และจะเสพทุกวันทั้งยาบ้า โซแลม(เหล้าแห้ง) โดยเฉพาะน้ำต้มพืชกระท่อม พิษภัยร้ายของการเสพยาเสพติดยังมีอีก โดยนายสมบัติ เย่นลำย์ หรือ ยม อายุ 19 ปี หนุ่มเมายาบ้าคลั่งใช้มีดไล่ฟันชาวบ้านบาดเจ็บ ภายในหมู่บ้านสยามพัฒนา ท้ายซอย 7 หมู่ 11 อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ ทำให้นางโกมล โมคลา อายุ 49 ปี ได้รับบาดเจ็บสาหัส โดยนายสมบัติเมายาบ้าอย่างไม่ได้สติ ได้ใช้มีดเสียมฟันเข้าที่กลางหน้าผากจนเป็นแผลฉกรรจ์เลือดไหลนองเต็มหน้า ซึ่งนาง ยุพิน คชบัว แม่ของนายสมบัติ ผู้ก่อเหตุได้เล่าว่า ลูกชายติดยาเสพติดมานานหลายปี ซึ่งจะเสพทุกอย่างตั้งแต่กัญชาจนถึงยาบ้า จนกระทั้งกลายเป็นโรคประสาท
ความร้ายแรงของยาเสพติด ที่ครอบงำกินสมอง ประสาทสัมผัสของผู้เสพ สั่งให้ทำให้สิ่งที่ไม่ถูกต้องนำพาให้เป็นโรคประสาทหลอน และพาเดินเข้าคุก อีกรายคือนายประจวบ นาทองคำ อายุ 40 ปี ชาวเมืองร้อยเอ็ด โดยหนุ่มใหญ่รายนี้มีอาการเมายาบ้า แล้วถือไม้หน้า 3 ไล่ตีชาวบ้านไปทั่ว จนไปเจอนายบุญศรี กมลผาด อายุ 65 ปี เพื่อนบ้าน ซึ่งได้ขับขี่ จยย.ผ่านมาพอดี หนุ่มเมายาบ้าจอมโหดเลยใช้ไม้หน้า 3 ฟาดไปที่ตัวคนขับจนล้มทั้งรถทั้งคน จากนั้นได้ตรงเข้ากระหน่ำตีหัวตายคาที่ แต่ยังไม่หน่ำใจ และยังไม่หยุดคลั่งหลังตีหัวตาเฒ่าเคราะห์ร้ายตายแล้ว ได้ทุบรถจยย. เสียหายทั้งคันอีกด้วย
เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์น่ากลัว และเกิดภัยร้ายจากการออกฤทธิ์ของยาบ้า จนนำไปสู่การสูญเสียทรัพย์สิน ชีวิต ขอชี้ให้เห็นว่ายาบ้าไม่ได้เกิดผลดีต่อร่างกาย แต่กลับกลายทำให้อนาคต หรือชีวิตทั้งชีวิตต้องจมดิ่งกับภัยยาเสพติด โดยเมื่อเสพไปแล้วยาบ้าจะออกฤทธิ์ไปกระตุ้นประสาท ระยะแรกจะทำให้ร่างกายตื่นตัว หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูง ใจสั่น ประสาทตึงเครียด แต่เมื่อหมดฤทธิ์ยาจะรู้สึกอ่อนเพลียมากกว่าปกติ ประสาทล้าทำให้การตัดสินใจช้าและผิดพลาด เป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงได้ ถ้าใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานจะทำให้สมองเสื่อม เกิดอาการประสาทหลอน เห็นภาพลวงตา หวาดระแวง คลุ้มคลั่ง เสียสติ เป็นบ้า ทำร้ายตนเองและผู้อื่นได้ หรือในกรณีที่ได้รับยาในปริมาณมาก จะไปกดประสาท และระบบการหายใจทำให้หมดสติ และถึงแก่ชีวิตได้
กับคำที่ว่า "ยาเสพติดเป็นภัยต่อชีวิต เป็นพิษต่อสังคม" ยังคงใช้เตือนสติ หรือเตือนใจกับคนที่ติดยาเสพติดได้เสมอ แม้คนส่วนใหญ่จะรู้ถึงภัยร้ายแรงของการเสพยา และรู้ถึงบทลงโทษหนักจนถึงประหารชีวิต แต่ก็ยังมิวายที่จะลักลอบขน ลักลอบค้ายาเสพติดกันอยู่เกลื่อนเมือง หากหน่วยงานรัฐเข้าไปปราบปรามแก๊งยาเสพติดให้จบสิ้นได้ เชื่อว่าสังคมไทยจะดีขึ้น และปัญหายาเสพติดจะได้ไม่ขยายเครือข่ายเป็นใยแมงมุมสร้างปัญหาใหญ่ กระเทือนความมั่นคงระดับชาติได้ ที่สำคัญอยากเห็นผลงานรัฐบาลกวาดล้างยาเสพติดให้ได้มากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ แม้จะยังไม่หมดไป แต่ก็น่าจะทำให้เห็นชัดเจนกว่านี้ เพื่อเป็นการทิ้งผลงานสั่งลาก่อนยุบสภา!!