ตำรวจสงสัยคนร้ายที่บุกเดี่ยวจี้ชิงทอง ย่านทุ่งครุ อาจเป็นสาวทอม หรือสาวประเภทสอง เพราะมีลักษณะอ้อนแอ้น คล้ายคดีที่เกิดขึ้นในย่านสุขสวัสดิ์ มาก่อน ขณะที่ ผบก.น.8 สั่งหาผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ ตรวจสอบหารูปพรรณสัณฐานของคนร้าย
วันนี้ (29 มี.ค.) พ.ต.อ.มานพ สุคนธ์ธนพัฒน์ ผกก.สน.ราษฎร์บูรณะ กล่าวถึงคดีคนร้ายใช้อาวุธปืนบุกเดี่ยวชิงทอง ภายในร้านทองจิรสุวรรณ เลขที่ 123/2 ถนนประชาอุทิศ แขวงและเขตทุ่งครุ กทม.ได้สร้อยคอทองคำรวมทั้งสิ้น 24 เส้น น้ำหนัก 60 บาท รวมมูลค่ากว่า 1.3 ล้านบาท และยังใช้อาวุธปืนยิง น.ส.วิชุดา จันทร์ฉาย อายุ 28 ปี พนักงานในร้าน จำนวน 2 นัด ได้รับบาดเจ็บ ก่อนที่จะขับ จยย.ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นคลิก สีขาวคาดดำ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน หลบหนีไป เมื่อวันที่ 27 มีนาคมนี้ ว่า จากการตรวจสอบภายในซอยประชาอุทิศ 69 ซึ่งเป็นเส้นทางที่คนร้ายใช้ในการหลบหนี ก็พบว่า ซอยดังกล่าวสามารถเข้าออกไปได้หลายเส้นทาง แต่จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดทั้ง 13 ตัว ที่มีการติดตั้งอยู่ภายในซอย พบว่า คนร้ายได้ใช้เส้นทางหลบหนีที่จะทะลุไปยังซอยประชาอุทิศ 33 ผ่านวัดกลางนา และสามารถทะลุไปยังปากซอยสุขสวัสดิ์ 62 ได้ ทั้งนี้ จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่บริเวณวัดกลางนาพบว่า คนร้ายได้ขับรถผ่านเข้ามา แต่เมื่อตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่บริเวณหน้าปากซอยสุขสวัสดิ์ 62 กลับไม่พบรถ จยย.ของคนร้าย จึงเป็นไปได้ว่าคนร้ายอาจจะอาศัยอยู่ภายในซอยดังกล่าว หรือไม่ก็อาจจะขับสวนเลนไปทางวงแหวนอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นเส้นทางไป อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ ได้
พ.ต.อ.มานพ กล่าวอีกว่า ส่วนภาพวงจรปิดภายในร้านทองดังกล่าว พบว่า คนร้ายสวมหมวกกันน็อก และมีผมเป็นรากไทรโผล่ออกมาด้านหลัง แต่เมื่อสังเกตลักษณะของคนร้ายจากกล้องวงจรปิดอย่างละเอียด พบว่า ช่วงเวลาที่คนร้ายหยิบทองใส่กระเป๋าที่เตรียมมานั้น มีลักษณะผอมบาง ท่าทางอ้อนแอ้น คล้ายผู้หญิง ซึ่งคนร้ายที่ลงมืออาจจะเป็นทอม หรือว่าสาวประเภท 2 ก็เป็นไปได้ และจากการนำแฟ้มคดีเก่า โดยคนร้ายได้ควงมีดบุกเข้าไปชิงทองในร้านทองแห่งย่านซอยสุขสวัสดิ์ 26 ก็พบว่ามีลักษณะท่าทางที่อ้อนแอ้นเหมือนกันกับที่ลงมือในครั้งนี้
นอกจากนี้ ยังได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.ราษฎร์บูรณะ ลงพื้นที่ตรวจสอบที่เกิดเหตุอย่างละเอียด ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เฝ้าร้านทองที่เกิดเหตุออกจากร้านได้ไม่นาน คนร้ายก็ลงมือทันที จากนี้จะทำการเช็กการใช้งานของโทรศัพท์ของพนักงานในร้าน และพ่อค้าแม่ค้าที่ขายของอยู่บริเวณที่เกิดเหตุ ว่า ช่วงเวลาดังกล่าวนั้นติดต่อใครบ้าง ซึ่งทาง พ.ต.อ.จีรศักดิ์ ขำคง รองผบก.น.8 ได้ประสานงานกับเจ้าหน้าที่ฝ่าย สส.บก.น.8 เพื่อหาผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศมาทำการตรวจสอบหารูปพรรณสัณฐานของคนร้ายด้วย
“สำหรับทองที่คนร้ายได้ปล้นไปนั้น ผมเชื่อว่า คงจะไม่นำออกมาขายเป็นเส้นอย่างแน่นอน อาจจะนำไปฝากร้านทองตามที่ต่างๆ เพื่อทยอยออกมาหลอมทีละประมาณ 5 บาท เพื่อให้เป็นก้อนเดียวก่อนจะนำไปขายเป็นก้อนก็เป็นได้ ทั้งนี้ ผมอยากขอความกรุณาบริษัทห้างร้านที่มีกล้องวงจรปิดอยู่ภายในร้านให้ติดกล้องวงจรปิดเพิ่มอีกคนละตัวโดยหันหน้าไปที่ถนน เพราะเวลาเกิดเหตุต่างๆ จะสามารถช่วยให้เจ้าหน้าที่ทำงานได้สะดวกมากขึ้น และยังทำให้การหาเบาะแสของคนร้ายง่ายขึ้นด้วย” พ.ต.อ.มานพ กล่าว