ลุง “น้องนุ่น” ร้องกองปราบฯ ช่วยตามหาหลานสาวและช่วยสอบคดี ที่หลานสาวพลัดตกห้วยน้ำโจน ทุ่งใหญ่นเรศวรหายไปเกือบสองเดือน ขณะที่ครอบครัวเชื่อหลานสาวหายตัวไปอย่างมีเงื่อนงำ ทั้งการแจ้งความเท็จของกลุ่มเพื่อนชายที่ไปด้วยกัน รวมทั้งกองทัพเรือยันไม่มีร่างมนุษย์จมในน้ำ
จากกรณีกลุ่มนักท่องเที่ยว 21 คน เดินทางมาจากกรุงเทพฯ ไปเที่ยวเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร โดยเข้าพื้นที่ทาง จ.ราชบุรี และได้ติดต่อผู้ชำนาญเส้นทางพาเข้าไปเที่ยวบริเวณห้วยน้ำโจน ซึ่งอยู่ฝั่งตะวันตกของทุ่งใหญ่นเรศวร อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ระหว่างนั้น น.ส.วรฐิกา พรหมณะ หรือ น้องนุ่น หรือ ยุ้ย อายุ 29 ปี พร้อมเพื่อนชายอีก 4 คนได้ล่องแพไม้ไผ่ที่ทำขึ้นเองในห้วยน้ำโจน แต่แพไปกระแทกโขดหินจนแพแตกทำให้ทั้งหมดพลัดตกน้ำ แต่กลุ่มผู้ชายทั้งหมดเอาตัวรอดมาได้ เว้นแต่ น.ส.วรทิกาที่หายไปกับกระแสน้ำ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 13 ม.ค.ที่ผ่านมา แต่เพื่อนชายทั้งสี่คนมาแจ้งความที่ สภ.ทองผาภูมิ เมื่อวันที่ 17 ม.ค.ที่ผ่านมาซึ่งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้ระดมกำลังค้นหาแต่จนถึงขณะนี้ผ่านมาเกือบ 2 เดือนแล้วก็ยังไม่พบตัวนั้น
วันนี้ (9 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณีดังกล่าวว่า เมื่อวันที่ 8 มีนาคมที่ผ่านมา นายประหยัด พรหมณะ อายุ 55 ปี อยู่บ้านเลขที่ 132/1 หมู่ 1 ต.บ้านป่า อ.ป่าซาง จ.ลำพูน ลุงของ น.ส.วรฐิกา เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.อภิชน เจริญผล พงส.(สบ 3) กก.5 บก.ป. เพื่อร้องทุกข์ขอให้ตำรวจกองปราบปรามช่วยตรวจสอบเรื่องราว และสืบสวนติดตามหา น.ส.วรฐิกา อีกทาง ซึ่ง พ.ต.อ.อภิชนได้รับเรื่องและเสนอต่อ พ.ต.อ.อธิป ฉิมอร่าม ผกก.5 บก.ป. พิจารณา โดยเบื้องต้นได้สั่งการให้ พ.ต.ท.สมบัติ มีมงคล สว.กก.5 บก.ป.พร้อมชุดสืบสวนประสานตำรวจท้องที่เพื่อร่วมสืบสวนกรณีดังกล่าวแล้ว
นายประหยัดกล่าวว่า ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องก็ให้การช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ด้านตำรวจท้องที่เองก็มีการสอบสวนพยานที่เกี่ยวข้องไป 7-8 ปากซึ่งจนถึงขณะนี้ยังเป็นเพียงกรณีอุบัติเหตุและมีคนหายตัวไป อย่างไรก็ตาม ทราบว่าพนักงานสอบสวนได้ดำเนินคดีต่อเพื่อนชายคนหนึ่งที่อยู่ในเหตุการณ์ในข้อหาแจ้งความเท็จซึ่งศาลตัดสินลงโทษปรับ 3,000 บาท ส่วนโทษจำคุกให้รอลงอาญา
นายประหยัดกล่าวต่อว่า ส่วนทางครอบครัวก็ยังเชื่อว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำบางอย่างไม่เช่นนั้นคงไม่โกหกตั้งแต่แรก อีกทั้งหน่วยซีล กองทัพเรือ ซึ่งมาช่วยค้นหานั้นก็ยืนยันว่าไม่มีร่างจมอยู่ในน้ำ เนื่องจากมีการนำน้ำไปตรวจสอบแล้วไม่พบไขมันมนุษย์ นอกจากนี้ยังมีการจำลองเหตุการณ์โดยนำไม้ไผ่เก่ามามัดด้วยเชือกฟางก็พบว่าแค่คนสองคนขึ้นไปแพก็จมน้ำแล้ว จึงเป็นไปไม่ได้ที่คน 5 คนจะไปล่องแพด้วยไม้ไผ่เก่าที่มัดเชือกฟาง
“ตอนนี้เจ้าหน้าที่ป่าไม้ก็ยังค้นหาอยู่ แต่ความหวังเหลือน้อยเต็มทีเพราะอยู่ในป่าลึก และผ่านมานานแล้ว แต่ถ้าจากไปจริงๆ ก็หวังว่าจะเจออะไรบ้างเพื่อจะได้นำกลับไปบำเพ็ญกุศลตามประเพณีทางเหนือ” นายประหยัดกล่าว