ทนายความ “เทพหัสดิน ณ อยุธยา” แถลงซ้ำฉบับ 2 ยัน “แพรวา” ไม่เล่นบีบี-โพสต์ข้อความผ่านเน็ต ระบุซีวิคไม่ได้ชนท้ายรถตู้ แต่พยายามหักหลบให้พ้นการเฉี่ยวชน ชี้ทีมกฎหมาย มธ.-ญาติผู้ตายปัดเจรจาค่าเสียหาย วอนสังคมเข้าใจตามข้อเท็จจริง และพร้อมยุติข้อพิพาทไม่ว่ากรณีใดๆ
เมื่อเวลา 17.30 น.วานนี้ (1 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจากนายพิทยา ปักเข็ม ทนายความของ น.ส.อรชร หรือแพรวา เทพหัสดิน ณ อยุธยา สาวซีวิค อายุ 17 ปี ว่า หลังทีมกฎหมายออกแถลงการณ์ฉบับที่ 1 เพื่ออธิบายเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับอุบัติเหตุบนทางยกระดับอุตราภิมุข จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายราย เพื่อให้สังคมได้รับรู้ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างแท้จริงไปเมื่อไม่นานมานี้ ปรากฏว่ายังมีบางข้อหรือบางประเด็นที่สังคมยังเกิดความสงสัยอยู่ ดังนั้น วันนี้ทีมกฎหมายจึงจำเป็นต้องออกแถลงการณ์ฉบับที่ 2 เพื่ออธิบายในส่วนที่สังคมยังคลางแคลงใจให้กระจ่าง ดังเนื้อหาในแถลงการณ์โดยสรุปดังนี้ สืบเนื่องจากคำแถลงการณ์ฉบับที่ยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับพยานหลักฐานที่ปรากฏบนตัวถังของรถยนต์ตู้โดยสาร และรถยนต์เก๋งซีวิค ซึ่งตรงนี้ทีมกฎหมายขอยืนยันว่าในแถลงการณ์ฉบับที่1 มีข้อเท็จจริงที่ชัดเจนจากภาพถ่ายรถคู่กรณีทั้งสองคันว่า ไม่มีร่องรอยสีของรถยนต์ทั้งสองคันติดกัน ซึ่งเป็นไปได้ยากมากหากเกิดการเฉี่ยวชนที่รุนแรงขนาดนั้น จะไม่มีร่องรอยหรือสีของรถทั้งสองคันติดอยู่บนตัวถังรถซึ่งกันและกัน จึงขอวิงวอนให้สังคมพิจารณาตามข้อเท็จจริง
นอกจากนี้ ทีมกฎหมายเห็นว่าอาจมีความเป็นไปได้ว่ารถยนต์ทั้งสองคันอาจไม่ได้เฉี่ยวชนกัน แต่อาจเกิดการเสียหลักเพราะเหตุที่รถยนต์ตู้โดยสารขับคล่อมเลนและปาดหน้ามายังช่องทางเดินรถขวาสุดอย่างกะทันหัน ส่วนรถเก๋งซีวิคก็พยายามหักหลบจนเกิดอุบัติเหตุขึ้นดังที่ทราบ ส่วนการที่รถยนต์ตู้เกิดเสียหลักหรือไม่อย่างไร เป็นเรื่องที่ผู้เกี่ยวข้องจะต้องศึกษากันว่า เกิดจากสภาพของรถ หรือเกิดจากคนขับขี่ และหากจะมองจากภาพวิดีโอที่ปรากฏทางสื่อ ก็น่าจะเห็นได้ชัดเจนว่ารถยนต์เก๋งซีวิคได้เบนหน้ารถออกมาทางด้านซ้าย ซึ่งเป็นการหักหลบเพื่อให้พ้นการเฉี่ยวชน
นายพิทยากล่าวต่อไปว่า ทีมกฎหมายขอเรียนมายังท่านที่สนใจกรณีดังกล่าวว่า สิ่งที่แถลงการณ์มานั้นเป็นข้อเท็จจริงจากการสอบคำให้การของผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งจากหลักฐานที่ปรากฏชัด ซึ่งมิใช่คำอ้างเพียงลอยๆ เพียงเพื่อที่จะต่อสู้คดีเท่านั้น ส่วนการโพสต์ข้อความลงในเครือข่ายอินเตอร์เน็ต โดยนำภาพของผู้ต้องหาขณะพยายามใช้โทรศัพท์ติดต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง ไปลงพร้อมกับมีรูปประกอบการโพสต์ข้อความในบีบีทำนองว่า “เซงเลย รถเราไปเฉี่ยวรถตู้” หรือ “อัพรูปไปแล้วภาพรถตู้ด้วย เหมือนในหนังเลยตัวเอง” หรือ “อีกแปปก็ไปแล้ว พ่อกำลังเคลียร์กับนักข่าวอยู่” หรือขึ้นสถานะว่า “เมื่อกี้ชั้นขับรถชนรถตู้ ตายไปเท่าไหร่ไม่รู้อ่า 55 ตื่นเต้นชะมัดเลยอ่า เด่วอัพรูปลงเฟสบุคให้ดู” อันเป็นเหตุให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ทางสังคมในเชิงลบอย่างหนัก
“ขอเรียนว่า ข้อความดังกล่าว ฝ่ายผู้ต้องหามิได้เป็นผู้โพสต์ข้อความดังกล่าว และภายหลังจากเกิดเหตุ ผู้ต้องหาก็มิได้เล่นบีบีดังที่มีการลงข้อความดังกล่าว เพราะหลังจากเกิดอุบัติเหตุ ผู้ต้องหาถูกอัดอยู่ใต้พวงมาลัย จนกระทั่งได้รับการช่วยเหลือออกมา และถูกพยุงมาพิงอยู่กับขอบทางด่วน พร้อมทั้งได้รับคำแนะนำจากหน่วยกู้ชีพให้โทรติดต่อหาญาติ โดยหน่วยกู้ชีพได้ไปหาโทรศัพท์จากรถยนต์เก๋งซีวิคมาให้กับผู้ต้องหาใช้ ในจังหวะที่กำลังกดโทรศัพท์อยู่นั้น ก็ถูกถ่ายรูปไว้ และต่อมาเรื่องดังกล่าวก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าข้อความในบีบีนั้น ผู้ต้องหาไม่ได้เป็นผู้พิมพ์แต่อย่างใด หากแต่มีผู้ทำภาพตัดต่อแต่งเติมขึ้นมา จึงขอเรียนย้ำมาให้ทราบทั่วกัน”
ทีมกฎหมายสาวซีวิคกล่าวต่อไปว่า ในแถลงการณ์ประเด็นสุดท้ายจะระบุถึงกรณีที่มีข่าวว่า ฝ่ายผู้ต้องหาไม่เคยติดต่อเข้าไปเจรจากับผู้เสียหาย ซึ่งขอเรียนว่านับตั้งแต่เกิดเหตุ ครอบครัวของผู้ต้องหาได้พยายามติดต่อญาติผู้เสียหายเกือบทุกท่าน แต่การพูดคุยทำได้ไม่มากดังที่เป็นข่าว โดยบางรายก็อ้างว่าต้องรอคุยกับทีมกฎหมายของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เสียก่อน แต่อย่างไรก็ตามในการเข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาเมื่อวันที่ 5 ม.ค.ที่ผ่านมา ฝ่ายผู้ต้องหาก็ได้แสดงเจตนาชัดแจ้งและขอให้พนักงานสอบสวนนัดเจรจากับฝ่ายผู้เสียหายแล้ว แต่ภายหลังก็ได้รับทราบว่า ทีมกฎหมายของธรรมศาสตร์ได้ตอบปฏิเสธเรื่องการเจรจา ข้อเท็จจริงจึงมิใช่กรณีที่ฝ่ายผู้ต้องหาไม่ได้พยายามที่จะเจรจากับฝ่ายผู้เสียหายดังที่เป็นข่าวแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะความประสงค์ของตัวแทนของฝ่ายกฎหมายของผู้เสียหายต่างหาก ส่วนที่พนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานแล้วเสร็จ และจะเสนอสำนวนต่อพนักงานอัยการนั้น ฝ่ายผู้ต้องหาก็พร้อมที่จะไปพบพนักงานอัยการ เพื่อเข้าสู่กระบวนการตามกฎหมายต่อไป ทั้งนี้ทีมกฎหมายขอขอบพระคุณทุกท่านอีกครั้งหนึ่งที่กรุณารับฟังข้อเท็จจริง และหวังว่าทุกท่านคงเข้าใจและพยายามดำเนินการ เพื่อนำไปสู่การยุติข้อพิพาท ไม่ว่าโดยการเจรจาหรือโดยกระบวนการทางศาล เพื่อความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย หลังจากนี้จะมีการเผยแพร่แถลงการณ์ไปตามสื่อต่างๆ เพื่อให้สังคมได้รับทราบข้อมูลที่แท้จริงกันอย่างทั่วถึงต่อไป