“ประวุฒิ” ชี้ 7 แกนนำ นปช.ต้องปฏิบัติตัวตามเงื่อนไขศาล เคารพแผนปรองดอง หลังศาลใช้ดุลพินิจให้ประกันตัวชั่วคราว คาด 12 มี.ค. แกนนำจะมาในรูปแบบดูคอนเสิร์ตที่ นปช.จัดกิจกรรม หากแกนนำยั่วยุปลุกระดม ตำรวจมีหน้าที่เพียงรายงาน แต่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับดีเอสไอจะถอนประกันหรือไม่ เผย พรุ่งนี้ส่ง “วรพงษ์” แจงศาลแพ่งในการประกาศใช้ พ.ร.บ.มั่นคง เชื่อ ศาลจะเข้าใจเหตุผล
วันนี้ (23 ก.พ.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ต.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) แถลงภายหลังการประชุม ศอ.รส.ว่า สถานการณ์ในขณะนี้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง โดยวันนี้ทางกองบัญชาการตำรวจนครบาลได้นำรายละเอียดการปรับลดกำลังจาก 27 กองร้อย เป็น 17 กองร้อย เพราะไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ส่วนกำลังเสริมก็ยังเท่าเดิมอยู่ สำหรับการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงในช่วงแรก นั้น ทาง ศอ.รส.ได้ดำเนินการให้เกิดความสงบเรียบร้อย โดยมีการป้องกันเหตุความวุ่นวายได้เป็นอย่างดี ซึ่งมีการตรวจค้นพบอาวุธ ยาเสพติด และมีหมายเรียกแกนนำพันธมิตรฯ ไป 10 คน
ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่ศาลสั่งปล่อยตัวชั่วคราวแกนนำ นปช.ทั้ง 7 คน และแนวร่วมอีก 1 คน จะมีผลอย่างไรบ้าง พล.ต.ต.ประวุฒิ กล่าวว่า ตนทราบว่าแกนนำจะมาทำบุญที่วัดปทุมวนารามในวันที่ 27 ก.พ.นี้ และวันที่ 12 มี.ค.จะมีการจัดกิจกรรมในรูปแบบคอนเสิร์ต ซึ่งคาดว่าแกนนำคงจะไปร่วมงานลักษณะมาดูคอนเสิร์ต ซึ่งแกนนำทั้ง 7 คนที่ได้รับการปล่อยตัว เพราะศาลใช้ดุลพินิจ เรื่องของแผนปรองดองแห่งชาติ ซึ่งเงื่อนไขการใช้ดุลพินิจให้ประกันตัวนั้น แกนนำก็ต้องปฎิบัติตัวให้อยู่ในข้อกำหนดของศาล เคารพแผนปรองดอง โดยการชุมนุมต้องอยู่ในความสงบ
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า หากแกนนำขึ้นเวทีปราศรัยแล้วพูดจาในลักษณะปลุกปั่น ยั่วยุขัดเงื่อนไขการให้ประกันตัว ตำรวจจะดำเนินการอย่างไร พล.ต.ต.ประวุฒิ กล่าวว่า ตำรวจคงเป็นคนคอยรายงานให้พนักงานสอบสวน ซึ่งคือดีเอสไอในข้อหาก่อการร้ายเป็นคนดำเนินการ ซึ่งตำรวจจะทำเพียงส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจไปติดตามพฤติกรรมของแกนนำพอประมาณและรายงานให้ดีเอสไอเจ้าของสำนวนทราบว่าจะยื่นถอนประกันหรือไม่ ซึ่งต้องใช้ดุลพินิจเอาเอง โดยเชื่อว่าการปล่อยตัวแกนนำจะไม่มีปัญหาอะไร เนื่องจากแกนนำต้องเคารพแผนปรองดอง หากมีการชุมนุมหรือต่อสู้ต้องทำโดยสงบ ซึ่งการปล่อยตัวแกนนำ นปช. อาจทำให้กลุ่มพันธมิตรฯ บางคนไม่พอใจบ้าง แต่คงไม่กระทบมาก เนื่องจากมีวัตถุประสงค์ในการเรียกร้องที่ต่างกัน
นอกจากนี้ พล.ต.ต.ประวุฒิ กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มประชาชนคนไทยหัวใจรักชาติ ได้ไปยื่นคำร้องต่อศาลเพ่ง เพื่อให้มีคำสั่งระงับการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง เนื่องจากการประกาศใช้ไม่ชอบด้วยกฎหมายว่า ในวันพรุ่งนี้เวลา 09.00 น.พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร.ได้มอบหมายให้ พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้ช่วย ผบ.ตร.ในฐานะเลขาธิการ ศอ.รส.ไปชี้แจงต่อศาล ตามความในมาตรา 23 วรรค 2 พ.ร.บ.ความมั่นคง ที่ให้สิทธิ์ผู้ประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคง สามารถชี้แจงเหตุผลรายละเอียดในการประกาศใช้ พ.ร.บ.ต่อศาล เนื่องจากเนื้อหาในประกาศไม่ได้สื่อเจตนาในเชิงลึก โดยประกาศไม่สามารถชี้แจงต่อสาธารณะชนได้ ซึ่งสามารถไปชี้แจงเหตุผลต่อศาลได้
พล.ต.ต.ประวุฒิ กล่าวว่า สำหรับแนวทางการชี้แจงแยกเป็น 2 ประเด็น ประกอบด้วย 1.เหตุผลการประกาศเขตพื้นที่ความมั่นคงมาตรา 15 วรรคแรก เพราะมีผู้ชุมนุมหลายกลุ่มมาชุมนุมในหลายพื้นที่ ซึ่งใกล้เคียงกัน และอาจมีมือที่ 3 เข้ามาสร้างสถานการณ์ อาจทำให้เกิดปัญหาลุกลามใหญ่โต ดังนั้นหากประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง ตำรวจจะสามารถป้องกันเหตุได้ 2. เขตพื้นที่ที่ประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง เป็นพื้นที่สำคัญจริงๆ เช่น รอบทำเนียบรัฐสภา ซึ่งเป็นศูนย์กลางการบริหารของรัฐ โดยสามารถชี้แจงเหตุผลได้หมดในแต่ละเขตพื้นที่ที่มีการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง ซึ่งมั่นใจว่าศาลจะฟังเหตุผลที่เจ้าหน้าที่ใช้ประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง ซึ่งเราก็มั่นใจในเหตุผลตั้งแต่การขอใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง แล้ว
พล.ต.ต.ประวุฒิ กล่าวถึงการสั่งคดีพันธมิตรฯอยู่หน้าสนามบินและสถานที่ราชการ ว่า ผบ.ตร.ไม่สามารถที่จะสั่งคดีได้ภายในสัปดาห์นี้ เนื่องจากสั่งให้ไปสอบเพิ่มในบางประเด็น และคดีนี้มีผู้ต้องหากว่า 100 คน โดยมีการทำผิดต่อเนื่องหลายวัน ซึ่งเป็นคดีอาญาที่มีโทษร้ายแรง ผบ.ตร.ในฐานะผู้บังคับบัญชาที่ต้องสั่งคดี จึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ และยืนยันไม่ได้ใช้คดีนี้ไปต่อรองกับกลุ่มพันธมิตรฯ เพื่อให้ยุติการชุมนุม โดยทุกอย่างทำไปตามวาระถึงวาระต้องทำก็ทำ และไม่ได้เอาเหตุผลเกี่ยวกับการชุมนุม ว่า หากสั่งฟ้องคดีนี้แล้วจะมีผู้ชุมนุมมากขึ้นมาพิจารณาแต่อย่างใด ซึ่งถือว่าเป็นคนและเรื่องกัน