ตร.มีนบุรี โชว์ผลงานทลายแก๊งโจรกรรม จยย. แกล้งทำทีแจ้งความเท็จรถหาย แต่เอาไปซุกในโกดัง แล้วส่งขายต่อประเทศเพื่อนบ้านราคา 6 หมื่น นอกจากนี้ ยังสามารถจับโจ๋วัย 12 และ 16 ตระเวนใช้ไขควงลัก จยย.ได้ขณะก่อเหตุ สารภาพ ทำไปด้วยความคึกคะนอง
วันนี้ (3 ก.พ.) เมื่อเวลา 11.00 น.ที่ สน.มีนบุรี พล.ต.ต.ศานิตย์ มหาถาวร ผบก.น.3 พร้อมด้วย พ.ต.อ.ดร.ศราวุธ จิตต์ระเบียบ ผกก.สน.มีนบุรี และ พ.ต.ท.วิวัฒน์ อัศวะวิบูลย์ พ.ต.ต.สมคิด ประเชิญสุข สว.สส.สน.มีนบุรี ร่วมกันแถลงข่าวจับกุมผู้ต้องหารวม 3 ราย รายแรกจับกุม นายออย (นามสมมติ) อายุ 16 ปี และ ด.ช.กอล์ฟ (นามสมมติ) อายุ 12 ปี ผู้ต้องหาร่วมกันลักทรัพย์ หรือรับของโจร พร้อมของกลาง รถ จยย.ฮอนด้า คลิก สีขาว-ดำ 1 คัน แผ่นหมายเลขทะเบียน รตข 987 กรุงเทพมหานคร และไขควง 1 อัน โดยจับกุมได้ที่ลานพาโชคอพาร์ทเมนท์ ซอยหทัยราษฎร์ 31 ย่านมีนบุรี
พล.ต.ต.ศานิตย์ กล่าวว่า การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนสืบทราบว่า มีกลุ่มเยาวชนออกตระเวนลักรถ จยย.ในท้องที่มีนบุรี ช่วงเวลากลางคืนเป็นประจำ จึงนำกำลังออกตรวจตรา กระทั่งพบผู้ต้องหามีท่าทางพิรุธยืนอยู่ในที่เกิดเหตุ เมื่อตรวจสอบก็พบไขควง และอุปกรณ์งัดแงะ เมื่อสอบถามทั้งคู่ก็ให้การรับสารภาพ ว่า เพิ่งขโมยรถ จยย.คันดังกล่าวมา จึงได้ยึดรถของกลางและควบคุมตัวมาสอบสวน เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การอ้างว่า ทำไปด้วยความคึกคะนอง และต้องการนำรถไปขับเล่นเท่านั้น
พล.ต.ต.ศานิตย์ กล่าวอีกว่า รายที่สองเจ้าหน้าที่ได้ร่วมกันจับกุม นายสำราญ ภู่สิงห์ อายุ 25 ปี และ นายสมาน โพธิ์เพชร อายุ 33 ปี ผู้ต้องหาร่วมกันบุกรุกสถานที่ราชการในเวลากลางคืน และร่วมกันพยายามลักทรัพย์ พร้อมของกลางรถ จยย.ยามาฮ่า ฟีโน่ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน อุปกรณ์งัดแงะจำนวนมาก กระสอบปุ๋ย และกระเป๋าสะพาย โดยจับกุมได้ที่สถานีสูบจ่ายน้ำเขตมีนบุรี หลังเจ้าหน้าที่ออกตรวจตราแล้วพบผู้ต้องหาในที่เกิดเหตุมีพิรุธ และพยายามวิ่งหนีเจ้าหน้าที่สายตรวจ จึงช่วยกันจับกุมตัวเอาไว้ได้ สอบสวนเบื้องต้นให้การรับสารภาพว่า เข้าไปตัดสายไฟในสถานีสูบน้ำจ่ายน้ำ เพื่อเผาเอาทองแดงไปขาย และทำมาแล้วหลายครั้ง
รายสุดท้าย ผบก.น.3 แถลงข่าวผลการจับกุมตัว นายอุทิศ ผลทวี อายุ 36 ปี นายภวัต ปณยาเดชาคมน์ อายุ 34 ปี นายประจักร คำเสียง อายุ 28 ปี และ น.ส.ปรีญา สินนา อายุ 29 ปี ผู้ต้องหาแจ้งข้อความแก่เจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา ว่า ได้มีการกระทำความผิด โดยรู้ว่ามิได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น ทั้งนี้สืบเนื่องจากผู้ต้องหาทั้ง 4 รายได้เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวนว่า รถจยย.ถูกขโมยไป แต่พอเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนลงไปตรวจสอบในพื้นที่ กลับพบว่า ไม่มีรถคันที่ถูกแจ้งความหายจอดอยู่ในวันและเวลาในที่เกิดเหตุจริง จึงนำตัวมาสอบสวนจนผู้ต้องหาทั้งหมดให้การรับสารภาพว่า เป็นแก๊งโจรกรรมรถ จยย.โดยใช้วิธีการเช่าซื้อรถแล้วส่งไปขายให้กับประเทศเพื่อนบ้าน
“แก๊งลักรถ จยย.ดังกล่าว หัวหน้าแก๊งจะใช้วิธีจ้างให้เงินลูกน้องในแก๊งคนละ 2 หมื่นบาท ไปดาวน์รถ จยย.ตามร้านต่างๆ เมื่อออกรถมาแล้วก็จะนำรถไปเก็บไว้ในโกดังแห่งหนึ่ง ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการสืบสวนว่าอยู่ที่ใดจากนั้นรวบรวมได้หลายคันก็จะนำไปขายให้กับประเทศเพื่อนบ้านในราคาเต็มของรถที่นำไปขาย ส่วนใหญ่เป็นรถ จยย.ยี่ห้อยามาฮ่า ฟีโน่ และฮอนด้า คลิก ราคาประมาณ 6 หมื่นบาท โดยจะนำรถไปขายต่อหลังจากซื้อออกมาจากร้านได้เพียง 5-10 วัน และเมื่อเวลาผ่านไป 2-3 เดือน ผู้ต้องหาจึงค่อยทำทีมาแจ้งความว่ารถถูกขโมยไป ซึ่งหากฝ่ายสืบสวนและพนักงานสอบสวนไม่ลงไปตรวจสอบอย่างละเอียดก็จะไม่รู้เลยว่าเป็นแก๊งโจรกรรมรถเพราะพวกนี้จะนำรถไปขายเพียงไม่กี่วันหลังจากซื้อออกมาจากร้าน ทำให้เจ้าหน้าที่ตามด่านตรวจต่างๆ ไม่สามารถตรวจสอบ หรือรู้ได้เลยว่ารถดังกล่าวเป็นรถที่ถูกโจรกรรมขโมยมา เนื่องจากผู้ต้องหามีใบซื้อขายอย่างถูกต้อง และยังไม่มีประวัติการแจ้งหายแต่อย่างใด จึงฝากเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อหากมีใครนำรถจยย.ไปขายให้ในราคาถูก เพราะอาจถูกดำเนินคดีในข้อหารับซื้อของโจรได้” พล.ต.ต.ศานิตย์ กล่าว
