อุตรดิตถ์ - ตำรวจอุตรดิตถ์ ทลายแก๊งลักรถจักรยานยนต์ รวม 5 ผู้ต้องหา ยอมรับภายในเดือนเดียวขโมยมาแล้วกว่า 30 คัน แถมรอดหูตา จนท.ทุกครั้ง รับมีคนคอยแจ้งสกัดของตำรวจให้ทราบ
รายงานข่าวจากจังหวัดอุตรดิตถ์ แจ้งว่า พ.ต.ท.พรวน คร้ามสมอ สว.ส.สภ.เมืองอุตรดิตถ์ ได้นำตัวผู้ต้องหาทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ตามจุดต่างๆ ในเขตเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ กว่า 20 แห่ง หลังจากเมื่อวานนี้(30 มิ.ย.54) นายภานุเดช แสนกุณา (บิ๊ก) อายุ 19 ปี อยู่บ้านเลขที่ 277 หมู่ที่ 5 ตำบลบ้านด่านนาขาม อำเภอเมือง อุตรดิตถ์ ร่วมกับ น.ส.วนิดา (ฝน) ปัญญาสืบ อายุ 19 ปี บ้านเลขที่ 55 หมู่ที่ 6 ตำบลแม่เมาะ อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง เข้าไปลักรถจักรยานยนต์ที่หอพัก ไม่มีชื่อ อยู่หลังโรงพยาบาลอุตรดิตถ์ ในเวลาเที่ยงวัน
จากนั้นทั้งสองได้ขับรถหลบหนีไปทางอำเภอลับแล ต่อมาเจ้าของรถได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทราบ เพราะหลังจากที่ได้ขับรถเข้ามาจอด ผู้ต้องหาทั้งสองได้ขับรถตามมา แล้วขับรถของตนออกไป ซึ่งมองเห็นกันอยู่ และสามารถสกัดจับตัวไว้ได้ทั้งสองคน
เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมือง นำโดย พ.ต.อ.นิคม เอี่ยมสำอางค์ ผกก.เมืองอุตรดิตถ์ ได้ระดม
เจ้าหน้าที่ทั้งชุดสายตรวจ และชุดสืบสวน ออกตรวจพื้นที่และทำการขยายผล ปรากฏว่าสามารถจับกุมเพื่อนร่วมแก๊งได้เพิ่มอีก 2 คน ชื่อ นายสุธิวัฒน์ เขม็นเขตการณ์ อายุ 22 ปี อยู่บ้านเลขที่ 29/2 หมู่ที่ 1 ตำบลคลองมะพลับ อำเภอศรีนคร จังหวัดสุโขทัย และนายอุเทน (เทน) อินเขียว อายุ 25 ปี บ้านเลขที่ 7/14 ตำบลท่าอิฐ อำเภอเมือง อุตรดิตถ์ พร้อมรถจักรยานยนต์ หลายรุ่นหลายยี่ห้อ อีก 9 คัน ที่หอพักของทั้ง 2 คน
ผู้ต้องหาทั้งหมดรับสารภาพว่า ได้ร่วมกันเข้าไปลักรถจักรยานยนต์ตามหอพักต่างๆในตัวเมืองและสถานเริงรมย์ หรือตามตลาด ร้านค้าที่เห็นว่าปลอดผู้คน จากนั้นได้นำรถที่ลักมาได้ไปขายให้กับ น.ส.ประภัสสร ทนงจิตร อายุ 35 ปี บ้านเลขที่ 10 /16 ตำบลท่าอิฐล่าง อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ ที่เปิดเป็นร้ายขายอาหารอยู่ที่ย่านรถไฟศิลาอาสน์ โดยรถแต่ละคันขายได้ราคาไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับความใหม่และเก่า หรือรุ่นของรถ หากเป็นรุ่นใหม่ก็จะได้ราคา 5,000 บาทขึ้นไป หากเก่าราคาก็ตกประมาณ 4,000 บาทลงมา
พวกตนทำมาแล้วรวมกันประมาณกว่า 30 คัน คือ ออกไปขโมยทุกวัน หากวันใดไม่ออกไปหาลักรถแล้วเงินไม่มี ก็จะไปขอเบิกจาก น.ส.ประภัสสร มาใช้ก่อน และเมื่อลักรถมาได้ก็จะทำการหักกลบลบหนี้กันไป
ส่วนที่ไม่ถูกจับได้ เพราะจะมีคนคอยโทรศัพท์บอกในขณะที่กลุ่มตนกำลังหลบหนี ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจเฝ้าอยู่จุดไหนบ้าง และเมื่อนำรถไปส่ง น.ส.ประภัสสร ครั้งใดก็จะมีคนคล้ายๆเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานหนึ่ง อยู่ด้วยเกือบทุกครั้ง
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกไปทำการเชิญตัว น.ส.ประภัสสร มาที่ สภ.เมือง เพื่อสอบปากคำ และได้รับสารภาพว่า รถที่ผู้ต้องหาที่จับได้มาก่อนหน้านี้มาขายให้ตนจริง รับซื้อในราคาที่บอกไว้ หากรวบรวมมาได้หลายๆคันแล้ว ก็จะโทร. บอกคนชื่อพัฒน์ อยู่กรุงเทพฯ ไม่ทราบชื่อนามสกุลจริงมารับซื้อ โดยเอารถยนต์มาบรรทุกออกไป ในราคาคันละ 7,000-8,000 บาท และไม่ทราบว่าเขานำไปขายที่ไหน
น.ส.ประภัสสร บอกว่า ที่ตนรู้จักกับคนที่ชื่อ พัฒน์ เพราะได้รับการแนะนำจากคนชื่อมด ทำงานอยู่ที่ อบต.แห่งหนึ่งในเขตอำเภอเมืองอุตรดิตถ์ เพราะคนชื่อ มด รับจำนำ รับซื้อรถจักรยานยนต์จากบ่อนการพนันทั่วไปในเขตอำเภอเมือง และอำเภอใกล้เคียง จากนั้น เขาก็จะนำรถไปขายให้คนที่ชื่อพัฒน์ ซึ่งตนเห็นว่าเป็นงานที่ง่ายและได้กำไรดี จึงตั้งแก๊งลักรถขึ้น
ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้นำตัว มาตรวจค้นที่บ้านพักพบรถ จักรยานยนต์ที่รับซื้อจากแก๊งดังกล่าวอีก 2 คัน พร้อมแผ่นป้ายทะเบียนอีกหลายแผ่นและตระกล้าหน้าที่ได้ถอดเก็บไว้อีกจำนวนหนึ่ง
พ.ต.อ.นิคม เอี่ยมสำอางค์ ผกก.สภ.เมืองอุตรดิตถ์ กล่าวว่า เมื่อได้ยินวิทยุสื่อสารของ สภ.เมือง ออกอากาศแจ้งลูกข่ายว่ารถจักรยานยนต์หายครั้งใด ใจหายทุกครั้ง เพราะช่วงที่ผ่านมารถหายบ่อยมาก ไม่เว้นแต่ละวัน ออกสกัดครั้งใดเหมือนนกรู้ไม่สามารถจับได้สักครั้ง ในครั้งนี้จึงคิดว่าจะขยายผลให้ถึงที่สุด และได้ตั้งข้อหาไว้ร่วมกันลักทรัพย์ ต่างกรรมต่างวาระ และรับซื้อของโจร