xs
xsm
sm
md
lg

เปิดปฏิบัติการเลื่อยขาเก้าอี้ ผบ.ตร.

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

บิ๊กน้อย พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.)
"ผมเองเป็นตำรวจมาถึงยศ พล.ต.อ.แล้ว มาทำงานก็เพื่อแทนคุณแผ่นดิน ไม่เอาบ้านเมืองมาล้อเล่น ทำงานเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ ถ้าใครคิดว่าตนเองทำหน้าที่ไม่เหมาะสม จะไปก็ไป ไม่ได้ยึดติดกับเก้าอี้ " นั่นคือถ้อยแถลงของ "บิ๊กน้อย" พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.)ที่ออกมาให้สัมภาษณ์สยบข่าวลือ การจัดฉากจับกุม นายธวัชชัย เอี่ยมนาค ผู้ต้องหาเตรียมก่อเหตุวางระเบิดใกล้กับทำเนียบรัฐบาล และพื้นที่ชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

ที่หลังการจับกุม ถูกมองว่า จัดฉากหรือไม่ เนื่องจากห้วงเวลาที่ถูกจับกุมมันช่างเหมาะเจาะ เพราะจับก่อนการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ เพียงวันเดียว หลายคนเคลือบแคลงว่าการจับกุมครั้งนี้เป็นแผนการของรัฐบาลที่ใช้ตำรวจเป็นเครื่องมือในการสร้างข่าวจับคนร้ายซึ่งเป็นกลุ่มคนเสื้อแดงพร้อมอาวุธร้ายแรงที่เตรียมถล่มกลุ่มพันธมิตรฯ ประหนึ่งเป็นการสะกดให้คนเกรงกลัวไม่กล้าออกมาร่วมชุมนุม ขณะเดียวกันยังเป็นการโยนบาปให้คนเสื้อแดงที่ออกมาชุมนุมคู่ขนานกับพันธมิตรฯ เรียกว่าแผนนี้เป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสองตัว

นอกจากประเด็นเรื่องการจัดฉากดังกล่าว ก็ได้เกิดกระแสข่าว"เลื่อยขาเก้าอี้ ผบ.ตร."รวมถึงความพยายามที่จะเปลี่ยนตัวผู้นำสีกากี ที่ออกมาเป็นระยะ ซึ่งกระแสข่าวดังกล่าวจะจริงหรือมั่วชัวร์หรือไม่ คนที่ทราบดีที่สุด ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากคนที่เปิดปฏิบัติการดิสเครดิตผู้นำสีกากี รวมถึง "บิ๊กเนม" ในรัฐบาลอย่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ที่คนแรกมีตำแหน่งเป็นประธาน ก.ต.ช.และคนที่สอง เป็นประธาน ก.ตร.พ่วงท้ายอำนาจการเมือง

อันที่จริงเรื่อง"การเปลี่ยนตัวผู้นำสีกากี"ถือว่าไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่า พล.ต.อ.วิเชียร นั้นไม่ใช่ตัวเลือกแรกที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี รวมถึง "ผู้จัดการรัฐบาล" อย่าง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง จะเลือกใช้มาตั้งแต่ต้น เพราะรัฐบาลประชาธิปัตย์ก้าวขึ้นมาด้วยเหตุอำนาจในสถานการณ์บ้านเมืองที่ไม่ปกติ สารพัดปัญหารุมเร้า โดยเฉพาะการต่อสู้ทางการเมืองของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่ล่าสุดได้กลายร่างเป็นขบวนการใต้ดิน จึงต้องการผู้นำสีกากี ที่เป็น "มือปราบ" ซึ่งแน่นอนว่า พล.ต.อ.วิเชียร ไม่อยู่ในข่ายนี้ เพราะอย่างที่ทราบตลอดชีวิตการรับราชการของ พล.ต.อ.วิเชียร เรียกได้ว่าเป็น "ตำรวจวัง" มาโดยตลอด ก่อนที่จะกลับมาผงาดขึ้นเป็น ผบ.ตร.

โดยตัวเลือกแรกที่อยู่ในใจของฝ่ายการเมืองจึงได้แก่ "บิ๊กวิน" พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ที่ปรึกษา(สบ 10)ด้านการสืบสวน แต่ทว่าแผนการที่จะดันให้นายตำรวจมือปราบผู้นี้ติดยศ พล.ต.อ.ให้ได้ก่อนเดือน ต.ค.2553 เพื่อให้มีคุณสมบัติครบถ้วนที่จะได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร.กลับล่มไม่เป็นท่า หวยจึงออกที่ พล.ต.อ.วิเชียร อย่างขัดเสียไม่ได้

และแม้ตลอดระยะเวลากว่า 3 เดือน ที่ก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งผู้นำกรมปทุมวัน พล.ต.อ.วิเชียร พยายามทุ่มเททำงานอย่างหนักเพื่อหวังจะพิสูจน์ตัวเอง รวมทั้งทำงานสนองนโยบายของรัฐบาลในแทบทุกเรื่อง แต่ทว่ายังไม่มีผลงานที่เป็นชิ้นเป็นอัน ให้เป็นที่เข้าตาฝ่ายการเมือง

โดยเฉพาะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ซึ่งสวมหมวกประธาน ก.ตร.ที่ไม่ค่อยประทับใจการทำงานของ พล.ต.อ.วิเชียร มาตั้งแต่ต้น เนื่องจาก พล.ต.อ.วิเชียร มักจะทำงานตามคำสั่งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน ก.ต.ช.เป็นหลัก ทำให้นายสุเทพ มองว่า พล.ต.อ.วิเชียร ไม่สนองคำสั่งของตนเอง

ล่าสุดได้เกิดเหตุการณ์เสมือนเป็นการหักหน้า นายสุเทพ โดยตรง กรณีการเลือก ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ (ข) ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญใน 6 สาขา ประกอบด้วย นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ บริหารงานยุติธรรม อาชญาวิทยา และเศรษฐศาสตร์ ที่ปรากฏชื่อ นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือนิด้า และนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ที่ฝ่ายการเมืองโดยเฉพาะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ให้การสนับสนุน กลับไม่ได้รับเลือก ขณะที่ พล.ต.อ.วิเชียร ซึ่ง เสนอชื่อ นายวิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกฯในสมัยรัฐบาลทักษิณ 2 แต่กลับได้รับเลือกในที่สุด

นอกจากนั้นก่อนเลือกเพียง 1 วัน พล.ต.อ.วิเชียร ออกมายอมรับเสียงดังฟังชัดว่า เขาเป็นคนเสนอชื่อ นายวิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรี เข้ามา พร้อมย้ำว่า ไม่กลัว และไม่กังวลกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า เลือก ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ (ข) ตามที่การเมืองต้องการ เพราะทุกอย่างมีแนวทางอยู่แล้ว และทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเสนอใครก็ได้ตามสังคมประชาธิปไตย และสิทธิตามกฎหมาย ทุกอย่างเป็นไปตามหลักการที่มีการกำหนดไว้แล้ว ถึงใครเข้ามาตนในฐานะผู้บริหาร ตร.ใครเข้ามาเป็น ก.ตร.ก็ได้เพราะตนมีหลักของตนในการบริหารที่ดีอยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้นายสุเทพ ไม่พอใจ พล.ต.อ.วิเชียร เป็นอย่างมาก และในส่วนตัวของ พล.ต.อ.วิเชียร ก็มั่นใจว่าสิ่งที่ตนเองกระทำถือว่าทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว จึงเกิดกระแสข่าวว่า นายสุเทพ คิดที่จะเปลี่ยนตัว ผบ.ตร.โดยให้ พล.ต.อ.อัศวิน ขึ้นมานั่งในตำแหน่งนี้แทน

ข้ามฟากไปมอง พล.ต.อ.อัศวิน นั้นที่ผ่านมามีผลงานมากมายล้ำหน้าเบอร์หนึ่งอย่าง พล.ต.อ.วิเชียร โดยเฉพาะการจับผู้ต้องหาคดีระเบิดซึ่งทุกคดีล้วนเป็นกรณีที่เป็นคุณกับฝ่ายรัฐบาล ขณะเดียวกันยังได้รับความไว้วางใจอย่างสูงจากฝ่ายการเมือง ถึงกับให้ลงมานั่งรักษาราชการแทนตำแหน่ง ผบช.ภ.1 ดูแลพื้นที่ปริมณฑล ทั้งที่ พล.ต.อ.อัศวิน ปัจจุบันดำรงตำแหน่งที่ปรึกษา(สบ 10) เทียบเท่ารองผบ.ตร. แว่วว่า พล.ต.อ.อัศวิน ถูกส่งมาทำโผแต่งตั้งโยกย้ายระดับ รองผบก.-สว.โดยเฉพาะ ซึ่งเชื่อได้เลยว่าตำรวจที่ถือตั๋ว"ปชป."โดยเฉพาะนายสุเทพ จะได้ดิบได้ดียกกระบิ และจากกรณีนี้ยังสะท้อนให้เห็นว่าคอนเน็คชั่นของ พล.ต.อ.อัศวิน กับบิ๊กในรัฐบาลชุดนี้เรียกว่าไม่ธรรมดา

หากยังจำกันได้ ก่อนหน้านี้ พล.ต.อ.อัศวิน เคยยอมรับกับบรรดากระจิบข่าวอย่างเปิดเผยว่า “ตนยังมีกิเลสอยากเป็น ผบ.ตร.” ซึ่งก็เป็นความจริงที่ว่าทุกคนที่ก้าวเข้ามาสวมเครื่องแบบสีกากีเป็นนายตำรวจย่อมมีความฝันเล็กๆ ว่าหากมีโอกาสในชีวิตนี้ก็อยากเป็นเบอร์หนึ่งขององค์กรสีกากีแห่งนี้สักครั้ง แต่จะได้เป็นหรือไม่ปัจจัยสำคัญหาใช่โชควาสนา แต่ขึ้นอยู่กับว่าฝ่ายการเมืองจะเอาหรือไม่เอา ซึ่งเชื่อว่า พล.ต.อ.อัศวิน ก็ทราบถึงปัจจัยข้อนี้ จึงไม่แปลกที่จะเห็น พล.ต.อ.อัศวิน จะกระตือรือร้นในการสร้างผลงานให้เข้าตารัฐบาล และก็ไม่แปลกอีกเช่นกัน ที่ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น พล.ต.อ.อัศวิน จะเป็นคนแรกๆที่ นายสุเทพ จะเรียกใช้ รวมถึงมีการต่อสายตรงถึงกันตลอดเวลา

ใช่อยู่แม้เมื่อวันที่ 26 ม.ค.54 "พล.ต.อ.วิเชียร"จะออกมาพูดว่า การจับกุม 5 ผู้ต้องหาพร้อมอาวุธสงครามล็อตใหญ่ที่สภาพอาวุธยังใหม่เอี่ยมว่า ไม่มีใครเอาเรื่องบ้านเมืองมาล้อเล่น ด้วยการจัดฉาก พร้อมกับพูดเพิ่มน้ำหนักของข่าวว่า ตนเองได้รับแจ้งก่อนที่จะมีการจับกุม 1 วันจาก พล.ต.ต.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบก.น.6 ว่ามีการติดตามกลุ่มดังกล่าวอยู่ จนมีการจับกุม จึงไม่ใช่การจัดฉากแน่นอน แต่เป็นการออกมาพูดหลังจากเก็บตัวเงียบอยู่ภายในห้องทำงานที่ สตช.เป็นเวลา 1 วันเต็มๆอีกทั้ง ถือเป็นการพูดเพื่อลดกระแสความขัดแย้งใน สตช. แต่สำหรับตัวของ พล.ต.อ.วิเชียร ย่อมทราบดีว่า เรื่องจริงเป็นเช่นไร ผู้ใต้บังคับบัญชาของท่าน คิดอย่างไร และมีใคร คิดไม่ซื่อกับท่าน พล.ต.อ.วิเชียร ย่อมรู้ดี

ดังนั้น จากสายสัมพันธ์ที่แนบเเน่นดังกล่าวข้างต้น ระหว่าง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ทำให้ใครต่อใครซึ่งในจำนวนนี้อาจจะหมายรวมถึง พล.ต.อ.อัศวิน ก็อาจคิดเลยเถิดไปว่าหากเกิดอุบัติเหตุกับแม่ทัพสีกากีอย่าง พล.ต.อ.วิเชียร จนทำให้มีอันต้องกระเด็นตกจากเก้าอี้ไป ผู้ที่เข้ามาแทนที่จะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากนายตำรวจที่ชื่อ พล.ต.อ.อัศวิน

ท้ายสุด หากประมวลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นประกอบกับกระแสข่าวการเลื่อยเก้าอี้ที่ออกมา ทำให้พอจะเชื่อได้ว่าเก้าอี้ ผบ.ตร.นั้นไม่มั่นคงซะแล้ว...คำพูดของ พล.ต.อ.วิเชียร ที่ประกาศว่า "ตำรวจเราไม่มีสีแดง ไม่มีสีเหลือง ไม่มีสีน้ำเงิน แต่เราเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ เป็นตำรวจสีกากี"อาจจะใช้ไม่ได้ผล สำหรับยุค ผู้จัดการรัฐบาล เหลิงในอำนาจ

กำลังโหลดความคิดเห็น