คอลัมน์ “จันทร์ส่องดาว” จันทร์นี้ขอนำเสนอ นายตำรวจมือปราบอันดับ 1ของปี 2553 จากผลการสำรวจที่สุดแห่งปีของเอแบคโพลล์ ซึ่งร้อยละ 32.6 ยกให้นายตำรวจคนนี้ พล.ต.อ.อัศวิน ขัวญเมือง หรือ “บิ๊กวิน” ที่ปรึกษา(สบ10) รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 เจ้าของฉายา “มือปราบไผ่เขียว” และ “อัศวิน ปิดจ็อบ” !!!ที่ช่วยบรรเทาทุกข์ปัญหาอาชญากรรมมากที่สุดในปี 2553
นายตำรวจมือปราบคนนี้เกิดเมื่อวันที่15 ก.พ. 2494 เป็นชาวจังหวัดสุพรรณบุรี จบการศึกษาม.ศ.3 โรงเรียนด่านช้างวิทยา จ.สุพรรณบุรี โรงเรียนตำรวจภูธร รุ่น 7 โรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน นรต.รุ่น 30 จบหลักสูตรการบริหารงานตำรวจชั้นสูง รุ่นที่ 16 และหลักสูตรวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 45
สำหรับประวัติการรับราชการของพล.ต.อ.อัศวิน เริ่มจากตำแหน่งรองสว.สส.สน.สำเหร่ เป็นที่แรก เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2520 จากนั้น 1 ต.ค.2521 ย้ายไปเป็นรองสว.สส.สภ.อู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ถัดมาต้นเดือน ต.ค.2524 ขยับไปเป็นรองสวป. สภ.อ.เมืองนครปฐม อีก 2 ปีต่อมาก็โยกไปเป็นสารวัตรแผนก 5 กองกำกับการสืบสวนสอบสวน กองบังคับการตำรวจภูธร 3 จังหวัดนครปฐม กระทั่งต้นเดือนพ.ย.2528 ติดยศพันตำรวจตรี และดำรงตำแหน่ง สารวัตร สภ.อ.ด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี ถัดมาอีกเพียง 2 ปี ก็ติดยศพันตำรวจโท และเข้ารับตำแหน่งรองผู้กำกับการวิทยาการ กองบังคับการตำรวจภูธร 3 จังหวัดนครปฐม ต้นเดือนต.ค. 2532 ก่อนจะได้เลื่อยศเป็นพันตำรวจเอก ในวันที่ 1ต.ค.2535 และดำรงตำแหน่งเป็นวิทยาจารย์เอกงานฝึกอบรมพยาบาลสนาม วิทยาลัยพยาบาลตำรวจ สำนักงานแพทย์ใหญ่
จากนั้นต้นเดือน ก.พ.2538 ได้เลื่อนยศเป็นพันตำรวจเอกพิเศษ และขยับขึ้นดำรงตำแหน่ง รองผู้บังคับการกองปราบปราม ปฏิบัติหน้าที่นาน 3 ปี ก่อนที่จะได้เลื่อนยศเป็นพลตำรวจตรี ในวันที่ 1ต.ค.2541พร้อมกับเข้ารับตำแหน่งผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย ผ่านไปเพียงแค่ 1 ปี ต้นเดือนมิ.ย.2542 ก็กลับมารับตำแหน่งผู้บังคับการกองปราบปราม จากนั้น 2 ปี ถัดมาได้โยกไปเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ก่อนจะขยับไปเป็น ผู้ช่วยผู้บัญชาการ ประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในปี 2546 กระทั่งต้นเดือนต.ค.2547 ก็ขยับกลับไปที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางอีกครั้ง ในตำแหน่งรองผู้บัญชาการ
ถัดมา 2 ปี ได้รับการเลื่อนยศเป็นพลตำรวจโท และโยกไปรับตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 ทำหน้าที่อยู่เพียง 1 ปี ต้นเดือน ต.ค.2550 ก็ขยับกลับมาเป็นแม่ทัพคุมตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ก่อนที่ต้นเดือน ต.ค.2551 จะขยับเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และกลับไปรักษาราชการแทน ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 อีกครั้งในวันที่ 1ก.พ.2553 ผ่านไป 8 เดือนในปีเดียวกันก็ได้รับการเลื่อนยศเป็น พลตำรวจเอก และได้ขึ้นดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษา(สบ 10) ดูแลงานด้านสืบสวน จากนั้นถัดไปเพียง 26 วัน ก็ขยับไปรักษาราชการแทน ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1
พล.ต.อ.อัศวิน เล่าย้อนถึงจุดเริ่มต้นในการเลือกเข้ารับราชการตำรวจ ว่า พื้นเพเป็นคนต่างจังหวัด เป็นคนบ้านนอก สมัยก่อนพ่อแม่จะสอนลูกว่าโตขึ้นให้เป็นเด็กดี ขยันเรียนหนังสือให้เก่งๆจะได้เป็นเจ้าคนนายคน เราก็จะฟังมาตลอด ในพื้นที่เล็กๆแถบต่างจังหวัดเรามองเห็นว่าตำรวจไม่ค่อยมี มีน้อย ตอนนั้นเราก็อยากเป็นเจ้าคนนายคนเลยขยันเรียนหนังสือ จนกระทั่งจบมศ.3 ที่ต่างจังหวัดก็เข้ามากรุงเทพ จากนั้นพอจบมศ.5 ก็เอนทรานซ์ติดที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แต่บังเอิญไปขณะนั้นได้ไปหาดนครปฐม ก็ไปเห็นโรงเรียนพลตำรวจ พอไปดูก็มีเพื่อนบอกว่า เรียนโรงเรียนพลตำรวจ 6 เดือนเป็นตำรวจก็ได้เงินเดือนเลย ด้วยความที่บ้านผมยากจน จึงตัดสินใจที่จะเรียนโรงเรียนพลตำรวจ ส่วนเรื่องทางมหาวิทยาลัยได้ตัดสินใจดร็อปไว้ 1 เทอม เพื่อที่จะได้มีเงินเดือน เรียนด้วยทำงานด้วย จากนั้นได้ไปสมัครจนสามารถสอบเข้าได้ พอจบก็ไปบรรจุอยู่ที่จ.สุพรรณบุรี จากนั้นก็มีคนแนะนำให้ไปสอบเข้าโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ผมเลยตัดสินใจไปลองสอบดู ก็ปรากฎว่าสอบติด และผมก็รู้สึกภาคภูมิใจกับหน้าที่ผู้พิทักษ์สันติราษฏร์มาตลอดจนถึงทุกวันนี้
พล.ต.อ.อัศวิน ยังพูดถึงคติพจน์การทำงานในอาชีพตำรวจทั้งชีวิตให้ฟังว่า “ผมจะถือคตินี้อยู่เสมอคือ “ถ้าอยากรู้อะไรต้องรู้ให้ได้ ถ้าคาใจและไม่รู้จะนอนไม่หลับ” เพราะผมเป็นคนขี้สงสัยคือพยายามจะใฝ่ให้รู้ให้ได้ อย่างการทำคดีต้องรู้ให้ได้ว่าใครทำ แต่จะจับได้หรือไม่เป็นเรื่องของพยานหลักฐานที่จะสาวไปถึงตัวบุคคลนั้น แต่ถ้าเป็นลูกน้องเราก็จะบอกเขาว่าสิ่งสำคัญลำดับแรก “ต้องมีจิตวิญญาณ” เราต้องมีจิตวิญญาณในการที่จะทำให้มันดีที่สุด “อาชีพตำรวจต้นทุนทางสังคมมันต่ำ จะคอยถูกกล่าวหาว่าร้ายตลอด แต่มันอยู่ที่ตัวบุคคล” บิ๊กวินกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
สำหรับผลงานของมือปราบอันดับ 1 ที่ว่า คงจะบรรยายไม่หมดในภายในวันเดียวของพื้นที่คอลัมน์นี้ เพราะคดีสำคัญๆหลายคดีผ่านมือเขามาแล้วทั้งสิ้น แถมยังไม่สร้างความผิดหวังให้กับวงการสีกากีและประชาชนที่เฝ้าจับตาดู ซึ่งล่าสุดก็โชว์ฝีมือปิดตำนาน “โจ๊ก - จิ๊บ ไผ่เขียว สองพี่น้องคู่หูนรก” ได้สำเร็จภายในเวลาไม่กี่วัน
พล.ต.อ.อัศวิน บอกว่า คดีที่ผ่านมือผมมาเยอะนะ! ผมทำคดีมากเยอะมาก ทั้งคดีเจ้าลาว คดีสังหารแม่ของสส.คมคาย พลบุตร ที่จังหวัดจันทบุรี คดีสังหารนายศุภฤกษ์ เรือนใจมั่น (โจ ด่านช้าง), คดีคาร์บอมบ์รถอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร, คดีจับกุมนายประชา โพธิพิพิธ (กำนันเซี๊ยะ),และล่าสุดดคีโจ๊ก - จิ๊บ ไผ่เขียว แต่คดีที่สร้างความหนักใจให้พอสมควรอย่างคดีที่เกาะสมุย พบศพผู้ตายเป็นหญิงสาวชาวอังกฤษลอยอยู่นอกฝั่งที่เกาะสมุย ซึ่งเป็นญาติกับควีนอลิซซาเบธ เหตุเกิดเมื่อปี 46 กว่าจะรู้ร่องรอยการข่มขืนการชันสูตรศพก็นานกว่า 10 วัน ทำให้ขณะนั้นทางประเทศอังกฤษเตรียมจะส่งทีมสก็อตแลนด์ยาจช์เข้ามาทำ ผมก็ไปกินนอนอยู่ที่นั่นประมาณครึ่งเดือนก็จับคนร้ายได้ และก็มีคดีเมื่อตอนเป็นผบช.ภ.2 ต้นปี 50 ที่มีแหม่มชาวรัสเซีย 2 คน ถูกยิงเสียชีวิตที่ชายหาดจอมเทียน คดีนั้นหากจับไม่ได้ก็คงแย่ เพราะผู้ตายเป็นนักท่องเที่ยว ผมใช้เวลาประมาณ 8 วันจึงจับได้ ก็ถือได้ว่าเป็นคดีหนัก ไม่ได้หลับได้นอนกันเลย นอกจากจะผ่านคดีมาโชกโชน ชีวิตผมยังผ่านอะไรมาอีกเยอะ ครั้งหนึ่งสมัยเป็นรองสารวัตรอยู่ที่ สภ.อู่ทอง เคยถูกจับข้อหาฆ่าคนตาย ถูกขังอยู่ในเรือนจำจังหวัดกาญจนบุนรี มีการตีตรวนล่ามโซ่เหมือนนักโทษทุกอย่าง แต่ก็สุดท้ายหลังสู้คดีกันเสร็จสิ้นปรากฏว่าผมไม่มีความผิด
นอกจากนี้บิ๊กวินยังพูดถึงคดีโจ๊ก - จิ๊บไผ่เขียว ซึ่งถือได้ว่าเป็นคดีสำคัญคดีหนึ่งส่งท้ายปี 2553 อีกว่า คดีนี้สะท้อนให้เห็นว่าปทุมธานี อยุธยา นนทุบรี เป็นแหล่งแพร่ระบาดของยาเสพติดที่หนักมาก ไม่ใช่ว่าจังหวัดอื่นไม่มี แต่น้อยว่า 3 จังหวัดนี้ เพราะ 3 จังหวัดนี้หนักในเรื่องของประชากรแฝงและกลุ่มวัยรุ่น ซึ่งค่อนข้างจะถูกปล่อยปะละเลยมาก แต่ประการหนึ่งเราก็ต้องยอมรับว่า ตำรวจเรามีน้อย หรือถึงมีก็อาจจะทำงานไม่ได้เต็มที่ ความตั้งใจ ความสำนึกในหน้าที่ยังมีไม่เพียงพอ ผมต้องพยายามสร้างขวัญกำลังใจและสร้างจิตสำนึก ไม่เช่นนั้นประเทศจะไปไม่รอด ถ้ายาเสพติดเต็มบ้านเต็มเมือง ต่อไปเยาวชนซึ่งเป็นอนาคตของชาติจะไปสู้รบปรบมือกับใครได้ “เจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งมีหน้าที่ในการรับผิดชอบป้องกันไม่ให้เกิดเหตุอย่างนี้ไม่ให้มียาเสพติด มันยังไม่เข้มงวดเท่าที่ควร เรามีหน้าที่เราต้องทำถ้าคุณไม่ทำแล้วใครจะทำในเมื่อคุณมีหน้าที่” ทุกวันนี้ผมก็ให้โรงพักในสังกัดภูธรภาค 1 ระดมกวาดล้างกันเกือบทุกวัน
หลังจากที่ปฏิบัติหน้าที่ผู้พิทักษ์สันติราษฏร์อย่างเต็มภาคภูมิมายาวนาน ในเดือนกันยายนปี 2554 มือปราบน้ำดีคนนนี้ก็จะต้องเกษียณอายุราชการแล้ว ซึ่งพล.ต.อ.อัศวิน บอกว่า ภรรยามีธุรกิจต้องดูแลผมคงไปช่วย คือครอบครัวเราอยู่กันอย่างสบายๆ ผมมีลูกชายทั้งหมด 3 คน เรียนจบแล้ว 2 คน คนโตก็เป็นตำรวจเป็นผู้ช่วยนายเวรอยู่ที่สำนักงานผบช.น. คนที่ 2 ก็จบธรรมศาสตร์แล้วกำลังจะไปเรียนต่อ อีกคนก็กำลังศึกษาอยู่ ส่วนงานเบื้องหลังในหน้าที่ตำรวจ ผมก็ต้องเข้ามาช่วยอยู่แล้ว อาจจะมาช่วยดูแลน้องๆ ซึ่งใครที่มาขอคำปรึกษาเราก็ยินดีช่วย
“สุดท้ายผมอยากฝากถึงน้องๆที่เป็นตำรวจ สิ่งแรกเลยคือ คุณต้องมีจิตวิญญาณ จริงๆแล้วตำรวจมีหน้าที่หลักแค่ 2 อย่าง คือ ป้องกันและปราบปราม ป้องกันไม่ให้มันเกิด เมื่อเกิดแล้วก็ต้องปราบปรามจับกุมให้ได้ แต่การปรายปรามจับกุมมันเป็นเรื่องปลายเหตุ เรื่องมันเกิดไปแล้วต่อใหจับกุมได้แต่ความสูญเสียที่เกิดขึ้นมันมากเหลือเกินอย่างเช่นคดีของน้องโตมี่ ต้องคิดว่าทำอย่างไรไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ถ้าป้องกันได้น้องโตมี่ก็ไม่ตาย ยาเสพติดก็ไม่มี และใครที่คิดจะเข้ามาเป็นตำรวจต้องคิดว่าคุณเลือกที่จะมา มันเป็นอาชีพที่ต้นทุนทางสังคมต่ำ จะเข้ามาทำในสิ่งที่ไม่ดีมันยิ่งต่ำลงไปใหญ่ เข้ามาแล้วต้องคิดที่จะช่วยกันทำให้สังคมดีขึ้น เงินทุกบาททุกสตางค์ได้มาจากภาษีของประชาชนทั้งนั้น ส่วนคนที่คิดว่าเข้ามารับราชการแล้วจะมีเงินใต้โต๊ะ ผมขอใช้คำว่า “ลาภอันมิควรได้” ถ้าคิดจะฝักใฝ่แต่เรื่องอย่างนี้เด็กรุ่นใหม่ที่เข้ามาเขาจะผิดหวัง ขณะนี้ความรวดเร็วของสื่อและการสื่อสารต่างๆมันเร็วมาก ใครไปทำไม่ดีที่ไหน 10 วินาที คนทั้งประเทศก็รู้แล้ว อาชีพตำรวจเปรียบได้กับอีกอย่างคือ อาชีพหมาไล่เนื้อ การที่จะเข้ามาเป็นตำรวจคุณต้องดูว่า 1.คุณมีจิตวิญญาณแค่ไหน 2.ลาภอันมิควรได้ ถ้าคิดจะแสวงหาจากตรงนี้ให้คิดเสียใหม่ สังคมมันก้าวไกลกว่านั้นเยอะ” บิ๊กวิน กล่าวทิ้งท้าย
นี่เป็นเพียงคำสัมภาษณ์และผลงานส่วนหนึ่ง ที่การันตีความสามารถและจิตวิญญาณการเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฏร์ ของพล.ต.อ.อัศวิน มือปราบน้ำดีที่จันทร์ส่องดาวภูมิใจนำเสนอ!!!