ตำรวจได้ภาพจากกล้องวงจรปิดบนทางด่วนโทลล์เวย์แล้ว 5 ตัว เพื่อแกะรอยคนร้ายยิงเอ็ม 79 ถล่มใส่ ร.1 พัน 1 รอ. ขณะที่คดียิงใส่บ้านนักธุรกิจ เชื่อไม่เกี่ยวข้องกับ “อักขราทร” เพราะระยะห่างเกินไป และยังไม่พบร่องรอยหลักฐานคนร้าย
วันนี้ (16 มี.ค.) เมื่อเวลา 13.00 น. พล.ต.ต.สาโรจน์ พรหมเจริญ ผบก.น.2 พร้อมด้วย พ.ต.อ.เจริญ ศรีศศลักษณ์ รอง ผบก.น.2 ได้เรียก สว.สส.ในสังกัด บก.น.2 ทุกโรงพัก เข้าประชุมหามาตรการเฝ้าระวังดูแลความปลอดภัยบ้านพักบุคคลสำคัญ และสถานที่ราชการ หลังจากเกิดเหตุคนร้ายใช้ M-79 ยิงใส่กองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ฯ (ร.1 พัน1 รอ.) ในพื้นที่ สน.บางซื่อ และเหตุการณ์ที่คนร้ายยิง M-79 ใส่บ้านนักธุรกิจในซอยลาดพร้าว 23 ใกล้กับบ้านของนายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุด โดยใช้เวลาในการประชุมประมาณ 1 ชั่วโมง
พล.ต.ต.สาโรจน์ เปิดเผยว่า จากการสอบสวนเบื้องต้นพบว่าเหตุคนร้ายที่ยิงระเบิด M-79 ใส่บ้านนักธุรกิจภายในซอยลาดพร้าว 23 คนร้ายไม่น่ามีวัตถุประสงค์มุ่งเป้าไปที่บ้านของนายอักขราทร เนื่องจากจุดที่คนร้ายก่อเหตุกับจุดที่เกิดระเบิดขึ้นห่างกันประมาณ 300 เมตร ซึ่งบ้านของนายอักขราทร อยู่ห่างจากจุดที่เกิดการระเบิดประมาณ 300-400 เมตร จึงไม่อยู่ในรัศมีทำการของเครื่องยิงระเบิด M-79 ที่จะสามารถยิงถึงได้ แต่หากคนร้ายยิงจากที่สูงด้วยวิถีโค้งก็อาจจะเป็นไปได้ แต่ตนเชื่อว่าเป้าหมายของคนร้ายน่าจะเป็นการก่อกวนเพื่อสร้างสถานการณ์ความไม่สงบมากกว่า ซึ่งตนได้สั่งการให้ฝ่ายสืบสวนลงพื้นที่หาจุดเสี่ยงที่เป็นยอดตึกสูงในบริเวณใกล้เคียงประมาณ 5 จุดแล้ว แต่จากการตรวจสอบเบื้องต้นไม่พบพยานหลักฐานและร่องรอยของคนร้ายแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังได้ทำการตรวจสอบกล้องวงจรปิดตามถนนและอาคารต่างๆ บริเวณโดยรอบจุดเกิดเหตุ เพื่อสืบหาตัวคนร้ายมาดำเนินคดี
พล.ต.ต.สาโรจน์ กล่าวอีกว่า สำหรับเหตุดังกล่าวนั้นจากการตรวจสอบกระสุน M-79 พบว่าหัวกระสุนเป็นสีบรอนซ์ ส่วนเหตุที่ ร.1 พัน 1 รอ. ทราบว่าหัวกระสุนเป็นสีทองแดง ซึ่งหัวกระสุนสีทองแดงจะมีอานุภาพทำลายล้างรุนแรงกว่า ตนได้สั่งการประสานขอกล้องวงจรปิดจากโทลล์เวย์ดอนเมือง ตั้งแต่จุดขึ้นโทลล์เวย์จนกระทั่งจุดสิ้นสุด ประมาณ 9 ตัว พร้อมทั้งกล้องจากทางด่วนในบริเวณใกล้เคียงมาตรวจสอบหารถยนต์ต้องสงสัย แต่เบื้องต้นยังไม่พบรถยนต์ต้องสงสัยของคนร้ายแต่อย่างใด ส่วนคนร้ายที่ลงมือก่อเหตุนั้นคาดว่าน่าจะยิงมาจากบนโทลล์เวย์ และยิงขณะรถจอดนิ่งมากกว่า และคาดว่าคนร้ายน่าจะมีไม่ต่ำกว่า 1 คน อย่างไรก็ตาม จากการสอบสวนเบื้องต้นเชื่อว่าเหตุการณ์ทั้ง 2 ไม่น่ามีส่วนเชื่อมโยงกัน
“ยอมรับว่าคดีดังกล่าวเป็นคดีที่ยาก เชื่อว่าคนร้ายที่ก่อเหตุเป็นมืออาชีพ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่จะพยายามอย่างเต็มความสามารถ โดยจะทำให้รอบคอบและรัดกุมมากที่สุด เพื่อติดตามหาตัวคนร้ายมาดำเนินคดีให้ได้ สำหรับท้องที่ บก.น.2 นั้นมีบ้านบุคคลสำคัญประมาณ 20 จุด และมีสถานที่สำคัญอีกจำนวนมาก ซึ่ง พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น.ได้กำชับให้ตำรวจทุกท้องที่ดูแลความปลอดภัยอย่างเข้มงวด” พล.ต.ต.สาโรจน์ กล่าว
รายงานข่าวแจ้งว่า พล.ต.ท.สัณฐาน ได้เรียกฝ่ายสืบสวน บก.น.5 มาร่วมสอบสวนเพื่อคลีคลายคดีที่คนร้ายก่อเหตุยิง M-79 ใส่ ร.1 พัน 1 รอ. ในท้องที่ สน.บางซื่อด้วย โดยมีการรวบรวมกล้องวงจรปิดทั้งแต่ดอนเมืองจนถึงทางลงโทลล์เวย์ขาเข้า ซึ่งขณะนี้ได้ภาพจากกล้องวงจรปิด 5 ตัวแล้ว ส่วนกล้องอีก 2 ตัวบริเวณทางด่วนดอนเมือง และแจ้งวัฒนะ ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบ
วันนี้ (16 มี.ค.) เมื่อเวลา 13.00 น. พล.ต.ต.สาโรจน์ พรหมเจริญ ผบก.น.2 พร้อมด้วย พ.ต.อ.เจริญ ศรีศศลักษณ์ รอง ผบก.น.2 ได้เรียก สว.สส.ในสังกัด บก.น.2 ทุกโรงพัก เข้าประชุมหามาตรการเฝ้าระวังดูแลความปลอดภัยบ้านพักบุคคลสำคัญ และสถานที่ราชการ หลังจากเกิดเหตุคนร้ายใช้ M-79 ยิงใส่กองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ฯ (ร.1 พัน1 รอ.) ในพื้นที่ สน.บางซื่อ และเหตุการณ์ที่คนร้ายยิง M-79 ใส่บ้านนักธุรกิจในซอยลาดพร้าว 23 ใกล้กับบ้านของนายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุด โดยใช้เวลาในการประชุมประมาณ 1 ชั่วโมง
พล.ต.ต.สาโรจน์ เปิดเผยว่า จากการสอบสวนเบื้องต้นพบว่าเหตุคนร้ายที่ยิงระเบิด M-79 ใส่บ้านนักธุรกิจภายในซอยลาดพร้าว 23 คนร้ายไม่น่ามีวัตถุประสงค์มุ่งเป้าไปที่บ้านของนายอักขราทร เนื่องจากจุดที่คนร้ายก่อเหตุกับจุดที่เกิดระเบิดขึ้นห่างกันประมาณ 300 เมตร ซึ่งบ้านของนายอักขราทร อยู่ห่างจากจุดที่เกิดการระเบิดประมาณ 300-400 เมตร จึงไม่อยู่ในรัศมีทำการของเครื่องยิงระเบิด M-79 ที่จะสามารถยิงถึงได้ แต่หากคนร้ายยิงจากที่สูงด้วยวิถีโค้งก็อาจจะเป็นไปได้ แต่ตนเชื่อว่าเป้าหมายของคนร้ายน่าจะเป็นการก่อกวนเพื่อสร้างสถานการณ์ความไม่สงบมากกว่า ซึ่งตนได้สั่งการให้ฝ่ายสืบสวนลงพื้นที่หาจุดเสี่ยงที่เป็นยอดตึกสูงในบริเวณใกล้เคียงประมาณ 5 จุดแล้ว แต่จากการตรวจสอบเบื้องต้นไม่พบพยานหลักฐานและร่องรอยของคนร้ายแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังได้ทำการตรวจสอบกล้องวงจรปิดตามถนนและอาคารต่างๆ บริเวณโดยรอบจุดเกิดเหตุ เพื่อสืบหาตัวคนร้ายมาดำเนินคดี
พล.ต.ต.สาโรจน์ กล่าวอีกว่า สำหรับเหตุดังกล่าวนั้นจากการตรวจสอบกระสุน M-79 พบว่าหัวกระสุนเป็นสีบรอนซ์ ส่วนเหตุที่ ร.1 พัน 1 รอ. ทราบว่าหัวกระสุนเป็นสีทองแดง ซึ่งหัวกระสุนสีทองแดงจะมีอานุภาพทำลายล้างรุนแรงกว่า ตนได้สั่งการประสานขอกล้องวงจรปิดจากโทลล์เวย์ดอนเมือง ตั้งแต่จุดขึ้นโทลล์เวย์จนกระทั่งจุดสิ้นสุด ประมาณ 9 ตัว พร้อมทั้งกล้องจากทางด่วนในบริเวณใกล้เคียงมาตรวจสอบหารถยนต์ต้องสงสัย แต่เบื้องต้นยังไม่พบรถยนต์ต้องสงสัยของคนร้ายแต่อย่างใด ส่วนคนร้ายที่ลงมือก่อเหตุนั้นคาดว่าน่าจะยิงมาจากบนโทลล์เวย์ และยิงขณะรถจอดนิ่งมากกว่า และคาดว่าคนร้ายน่าจะมีไม่ต่ำกว่า 1 คน อย่างไรก็ตาม จากการสอบสวนเบื้องต้นเชื่อว่าเหตุการณ์ทั้ง 2 ไม่น่ามีส่วนเชื่อมโยงกัน
“ยอมรับว่าคดีดังกล่าวเป็นคดีที่ยาก เชื่อว่าคนร้ายที่ก่อเหตุเป็นมืออาชีพ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่จะพยายามอย่างเต็มความสามารถ โดยจะทำให้รอบคอบและรัดกุมมากที่สุด เพื่อติดตามหาตัวคนร้ายมาดำเนินคดีให้ได้ สำหรับท้องที่ บก.น.2 นั้นมีบ้านบุคคลสำคัญประมาณ 20 จุด และมีสถานที่สำคัญอีกจำนวนมาก ซึ่ง พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น.ได้กำชับให้ตำรวจทุกท้องที่ดูแลความปลอดภัยอย่างเข้มงวด” พล.ต.ต.สาโรจน์ กล่าว
รายงานข่าวแจ้งว่า พล.ต.ท.สัณฐาน ได้เรียกฝ่ายสืบสวน บก.น.5 มาร่วมสอบสวนเพื่อคลีคลายคดีที่คนร้ายก่อเหตุยิง M-79 ใส่ ร.1 พัน 1 รอ. ในท้องที่ สน.บางซื่อด้วย โดยมีการรวบรวมกล้องวงจรปิดทั้งแต่ดอนเมืองจนถึงทางลงโทลล์เวย์ขาเข้า ซึ่งขณะนี้ได้ภาพจากกล้องวงจรปิด 5 ตัวแล้ว ส่วนกล้องอีก 2 ตัวบริเวณทางด่วนดอนเมือง และแจ้งวัฒนะ ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบ