สุดท้ายเหตุการณ์บ้านเมือง หลังวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553 หลังศาลพิพากษาโทษยึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาท ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้มาจากการร่ำรวยผิดปกติ ได้บังเกิดความวุ่ยวาย นำไปสู่สัญญาณร้าย แห่งความรุนแรง และถือเป็นการคาดการณ์ที่ถูกต้องของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ว่ายกนี้ "ทักษิณ" ต้องสู้ตายแน่
ย้อนกลับไปหลังสิ้นเสียงอ่านคำพิพากษายึดทรัพย์ “ทักษิณ ชินวัตร” พร้อมว่านเครือ จำนวน46,373,687,454.70 บาท ตกเป็นของแผ่นดิน ในช่วงค่ำของวันศุกร์ที่ 26 ก.พ. นักโทษหนีคดีพิพากษาจำคุก 2 ปี “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ปล้นชาติ ได้พ่นน้ำลายผ่านวิดีโอลิงก์สดถึงสาวก “ปลวกแดง” ปฏิเสธคำตัดสินของศาล พร้อมโจมตีและหมิ่นศาลว่า เล่นการเมืองแบบสุด ๆ
ถัดมาเจ้าของฉายา “เค ทอง” สมุนมือขวา “เสธ.แดง” พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ได้เผยแพร่คลิปออกอากาศผ่านโปรแกรมแคมฟร็อกทางอินเทอร์เน็ตในคืนวันที่คำพิพากษาตัดสินยึดทรัพย์ เช่นกัน โดย “เค ทอง” หรือนายพรวัฒน์ ทองธนบูรณ์ หนึ่งในแกนนำนักรบพระเจ้าตาก พูดข่มขู่ว่าจะเกิดเหตุการณ์วางระเบิดและมีความวุ่นวายในบ้านเมืองตั้งแต่วันที่ 27 ก.พ.เป็นต้นไป
“อย่างที่ผมบอก สัญญาณของระเบิดจะดังขึ้น และไม่ต้องห่วงนะครับ ไม่ต้องถามเลยนะครับว่าใครทำ เพราะมึงไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้เลยว่าใครทำ เอาเป็นว่าตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป เราจะได้ยินเสียงระเบิดดังถึงประตูบ้านท่าน ดังเข้ามาในหน้าต่างบ้านท่าน ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ... ประกาศสงครามกลางเมืองนับตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป สงครามกลางเมืองเกิดแล้วครับ”
หลังจากนั้นไม่นานแรงสั่นสะเทือนของความรุนแรงได้เริ่มขึ้น โดยเกิดเหตุคนร้ายปาระเบิดชนิด เอ็ม 67 ใส่ธนาคารกรุงเทพ ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 4 จุดทันที
เวลา 21.20 น. วันที่ 27 ก.พ. มีคนร้าย 2 คน ซิ่ง จยย. ปาระเบิดขว้างสังหารชนิดเอ็ม 67 ใส่ ธนาคารกรุงเทพฯ สาขาสีลม และสาขาพระรามที่ 2
วันที่ 27 ก.พ.เวลา 23.30 น. เกิดระเบิดอีก 2 จุด สาขาพระประแดง-ศรีนครินทร์ จังหวัดสมุทรปราการ
นอกจากเหตุระเบิดที่ธนาคารกรุงเทพทั้ง 4 จุด แล้วยังมีเหตุคนร้ายสร้างสถานการณ์ โดยนำระเบิดปลอมไปวางที่หน้าธนาคารธนชาต สาขาพุทธมณฑล สาย 4 จ.นครปฐม อีก 1 จุด
28 ก.พ.เวลา 09.30 น. พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เชื่อว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นฝีมือของคนร้ายคนเดียวกันที่ตระเวนขี่ จยย.ปาระเบิด ส่วนจะเป็นผลสืบเนื่องจากคดียึดทรัพย์หรือไม่ ยังไม่ยืนยัน แต่ต้องเป็นกลุ่มที่ไม่หวังดีต่อประเทศแน่นอน
เวลาเดียวกัน 09.30 น. พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาราชการแทนผบ.ตร. เรียกประชุมฝ่ายความมั่นคง สั่ง รปภ. 9 องค์คณะผู้พิพากษา “ยึดทรัพย์แม้ว” ไม่มีกำหนดการถอนกำลังรักษาความปลอดภัย ย้ำให้เพิ่มกำลังเฝ้าระวัง ธ.กรุงเทพ บ้านคนสำคัญ และ 14 จุดสำคัญทั่ว กทม. และ 38 จังหวัด สั่งทุก บช.จับตากลุ่มเสธ.แดง
เวลา 19.30 น. พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น. ปล่อยแถวระดมกำลังตำรวจป้องกันปราบปรามอาชญากรรมและการเฝ้าระวังไม่ให้ มีการก่อเหตุระเบิดในพื้นที่ กทม. จำนวน 475 นาย ยานพาหนะออกตรวจพื้นที่ 208 คัน เน้นย้ำ สายตรวจเรียกค้นทุกคนแบบปูพรมไม่มีละเว้น
1 มี.ค. ตำรวจ สน.ยานนาวาออกหมายจับคนร้ายวางระเบิดแบงก์กรุงเทพ ตามภาพสเกตช์ ซึ่งเป็นชายไทยไม่ทราบชื่อ อายุประมาณ 30 ปี สูง 170 เซนติเมตร ไว้ผมรองทรงสูง โหนกแก้มสูง จมูกโต
เวลา 12.00 น. พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ที่ปรึกษา สบ 10 กำกับดูแลกองบัญชาการตำรวจนครบาล พร้อมนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ร่วมประชุมประเมินสถานการณ์ในพื้นที่ กทม. ช่วงระยะเวลาจากนี้ไป ตั้งแต่วันที่ 1-14 มี.ค. และเตรียมแผนรับมือม็อบเสื้อแดงวันที่ 12-14 มี.ค. นี้ด้วย
2 มี.ค. พล.ต.ท.ตรีทศ รณฤทธิวิชัย ผบช.ส. ระบุ การเอาผิดคลิปภาพและเสียง “พรวัฒน์ ทองธนบูรณ์” หรือ เคทอง ที่เผยแพร่ทางยูทูบว์ ว่า ถ้าพบพยานหลักฐานชัดจะดำเนินคดีหมด โดยจะดูทางข้อกฎหมายว่าจะเข้าข้อกฎหมายใด ส่วนจะเรียกมาสอบสวนหรือไม่นั้น ขณะนี้คงไม่สามารถทำได้ เพราะ “เคทอง” หนีไปแล้ว
ความรุนแรงเริ่มคุกรุ่นทวีมากขึ้น นอกเหนือปาระเบิดสร้างฉิบหายแล้ว ในวันที่ 2 มี.ค. เวลา 10.40 น. นายสุรชัย เกิดดี ได้บุกเดี่ยวปา “บอมบ์อุจจาระ” ใส่บริเวณประตูด้านหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จนเลอะเทะเปรอะเปื้อนส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง แต่ถูกศาลลงโทษสั่งขัง 5 วัน
2 มี.ค. "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" นายกรัฐมนตรี ยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า รัฐบาลไม่ประมาท ได้สั่งตำรวจดูพฤติกรรม พวกปลุกระดม ผ่านเว็บ และยังใจดีสู้สะกดยิ้ม บอกม็อบหางแดง 14 มี.ค. ไม่มีอะไร พร้อมย้ำให้ทุกฝ่ายดูแลให้เกิดความสงบเรียบร้อย
ด้าน “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ได้วิเคราะห์สถานการณ์ความเสี่ยงต่อการเกิดความรุนแรงในเดือน มี.ค. ไว้ 3 ยุทธศาสตร์ 2 ยุทธวิธี คือ“จะให้มีการคืนทรัพสินย์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยดำเนินการล้มคำพิพากษา ไม่ให้มีการบังคับคดีตามคำวินิจฉัยของศาล โดยจะเคลื่อนไหวให้เกิดความวุ่นวายและความรุนแรง สร้างภาพให้หน่วยงานที่มีหน้าที่บังคับคดีเสี่ยงต่อความรุนแรงเพื่อดึง “แม้ว” กลับประเทศ พร้อมได้ประเมินกลางเดือน มี.ค. เข้าข่ายก่อจลาจล
นี่คือบางส่วนของความรุนแรงที่สร้างความปั่นป่วน เย้ยฝีมือการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐ กับแผนปฏิบัติการท้าทายกฎหมาย ส่วนในช่วงวันเวลาที่ยังไม่ถึงฤกษ์ 12-14 มี.ค.ที่กลุ่มเสื้อแดงได้ประกาศจะเคลื่อนไหวชุมนุมใหญ่ หวังล้มกระดานช่วย “นายใหญ่”จะนำไปสู่ความรุนแรง สู่เหตุนองเลือดอีกครั้งหรือไม่ รัฐบาลคือ "ผู้กำหนด"