รวบคาตู้เอทีเอ็ม! หนุ่มขี้คุกมาเหนือเมฆ หลอกเจ้าหน้าที่แบงก์เปลี่ยนแปลงข้อมูลบัตรเครดิตลูกค้า ก่อนนำบัตรมากดเงินใช้ ยอดความเสียหายกว่า 2 ล้าน เผยเคยติดคุกคดีดังกล่าวมาแล้ว 6 เดือนแต่ยังไม่เข็ดออกมาก่อเหตุซ้ำอีก
วันนี้ (18 ก.พ.) ที่ บช.น.เมื่อเวลา 19.30 น. พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น. พล.ต.ต.ฉันทวิทย์ รามสูต ผบก.สส.บช.น. พร้อมเจ้าหน้าที่ กก.สส.บช.น. ร่วมกันแถลงข่าวจับกุม นายอดิเรก โชคบัณฑิต อายุ 29 ปี อยู่บ้านเลขที่ 210 หมู่ 3 ต.บ้านเต่า อ.บ้านแท่น จ.ชัยภูมิ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดพระโขนง เลขที่ ส.1744/2552 ลงวันที่ 14 ต.ค.52 ในข้อหาใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่น และฉ้อโกงด้วยการแสดงตนเป็นคนอื่น จับกุมตัวได้ที่บริเวณห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล สาขาปิ่นเกล้า
พล.ต.ท.สัณฐาน กล่าวว่า การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องมาจากเจ้าหน้าที่ได้รับการประสานจากชมรมบัตรเครดิต สมาคมธนาคารไทย ว่ามีคนร้ายโทรศัพท์เข้าไปยังคอลเซ็นเตอร์ของธนาคารต่างๆ แล้วหลอกพนักงานให้แก้ไขข้อมูลลูกค้ามาทำบัตรเครดิตใหม่ ก่อนนำมาใช้กดเงิน ซึ่งสร้างความเสียหายให้แก่ธนาคารต่างเป็นจำนวนมาก โดยตำรวจได้รับข้อมูลจากชมรมว่า นายอดิเรกน่าจะคนร้าย นอกจากนี้ยังมีประวัติเคยถูกจับกุม เมื่อวันที่ 18 ก.พ.51 และศาลพิพากษาจำคุก 6 เดือน ก่อนจะพ้นโทษออกมา
พล.ต.ท.สันฐาน กล่าวต่อว่า สำหรับพฤติกรรมของผู้ต้องหาคือ จะใช้วิธีการหาข้อมูลเหยื่อทางอินเทอร์เน็ต โดยจะเข้าไปในเว็บไซต์กูเกิล เข้าไปที่เว็บกรมการปกครอง เพื่อหารายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง จากนั้นจะจดชื่อ นามสกุล และเลขบัตรประชาชน แล้วหาข้อมูลบัตรเคดิตของเหยื่อ หลังจากนั้นจะโทรศัพท์เข้าไปที่คอลเซ็นเตอร์ของธนาคารที่เหยื่อเป็นลูกค้าอยู่ แล้วคุยกับเจ้าหน้าที่เพื่อทำการเปลี่ยนแปลงข้อมูลในบัตร โดยอ้างว่าบัตรเสียหรือบัตรหายแล้วให้อายัดบัตร เพื่อให้เจ้าหน้าที่หลงเชื่อทำการเปลี่ยนแปลงข้อมูลให้ เมื่อได้บัตรแล้วจะให้ส่งมาตามที่อยู่ใหม่ ก่อนนำไปกดเงินจนสร้างความเสียหายจำนวนมาก
พล.ต.ท.สัณฐาน กล่าวต่ออีกว่า จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงได้ทำการตรวจสอบพบว่ามีลูกค้า จำนวน 7 ราย ที่ถูกผู้ต้องหาปลอมแปลงบัตรเครดิต ระหว่างวันที่ 14 พ.ย.52 ถึง 24 ม.ค.53 รวมมูลค่าความเสียหายทั้งสิ้น 2,043,694 บาท กระทั่งวันนี้ (18 ก.พ.) เจ้าหน้าที่สืบทราบได้ว่าผู้ต้องหากำลังไปกดเงินที่ตู้เอทีเอ็มภายในห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า จึงได้เข้าทำการจับกุมดังกล่าว หลังจากนี้จะได้ส่งตัวผู้ต้องหาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
