ตำรวจนำตัว 5 ผู้ต้องหาแก๊งค้าอาวุธสงคราม ออกจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพ มาฝากสถานกักตัวคนต่างด้าว สตม.รอคำสั่งของอัยการสูงสุด หากคดีสิ้นสุดลงพร้อมประสานสถานฑูตติดต่อหาเครื่องบินส่งตัวกลับทันที ด้านทนายเผยหลังสั่งไม่ฟ้องสำนวนคดีทั้งหมดจะถูกส่งไปให้ "ปทีป" ตรวจอีกทีซึ่งใช้เวลาหลายวัน ติงไม่ควรกักตัวอีก
วันนี้(11 ก.พ.) เมื่อเวลา 20.00 น. พ.ต.ท.สอาด การลพ พงส. (สบ 2) ช่วยราชการ บก.ป.นำตัวผู้ต้องหาทั้ง 5 คน เดินทางออกจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพ มาถึงสถานกักตัวคนต่างด้าว สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ย่านสาทร จากนั้นได้พาตัวผู้ต้องหา ทยอยเดินลงจากรถเข้าห้องกัก กก.3 บก.สส.สตม.อย่างรวดเร็ว โดย พ.ต.ท.สอาด ได้ใช้เวลาทำหนังสือส่งตัวผู้ต้องหานานประมาณ 15 นาที ก่อนออกมาเปิดเผยว่า ว่า หลังจากนี้คาดว่า ผู้ต้องหาทั้ง 5 คน น่าจะอยู่ในความดูแล ของ สตม.อีกประมาณ 2-3 วัน เพื่อรอคำสั่งของอัยการสูงสุดว่าคดีจะสิ้นสุดหรือไม่ อย่างไรก็ตามคาดว่า หากคดีสิ้นสุดลงแล้วทางเจ้าหน้าที่สถานฑูตก็คงจะรีบติดต่อหาเครื่องบินโดยสารทำการส่งตัวผู้ต้องหาทั้ง 5 คน กลับสู่ภูมิลำเนาในทันที ส่วนเรื่องเครื่องบินลำที่ผู้ต้องหาทั้ง 5 คน นำเข้ามาจอดในสนามบินดอนเมืองก่อนถูกจับกุมตัวได้พร้อมอาวุธจำนวนมากนั้น ตนยังไม่ทราบว่า จะสามารถนำกลับไปด้วยได้หรือไม่
ขณะที่ นายสมศักดิ์ สายทอง ทนายความของผู้ต้องหา กล่าวว่า จากการตรวจสอบเอกสารคำร้องขอยืนยันการปล่อยตัวผู้ต้องหา ซึ่งอัยการได้มีคำสั่งไม่ฟ้องลูกความของตนทั้ง 5 คนแล้ว คาดว่า หลังจากนี้สำนวนคดีทั้งหมดจะถูกส่งไปให้ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รรท.ผบ.ตร.ทำการตรวจสอบอีกครั้ง ก่อนนำเสนอให้อัยการสูงสุดมีคำสั่งให้คดีสิ้นสุดต่อไป ซึ่งคาดว่าน่าจะใช้ระยะเวลาอีกนานหลายวัน ตอนนี้ลูกความของตนทั้ง 5 คน รู้สึกดีใจมากที่ถูกปล่อยตัวออกจากเรือนจำ แต่ในความเห็นของตนนั้นคิดว่าทุกคนไม่น่าจะต้องมาถูกกักตัวไว้ในสถานที่แห่งนี้ เนื่องจากไม่ได้เป็นผู้ต้องหาหลบหนีเข้าเมือง และไม่รู้มาก่อนเลยว่าสิ่งของที่อยู่บนเครื่องบินลำนั้นคืออะไรบ้าง แต่ทางประเทศไทยคงมองว่าเป็นอาวุธสงครามจำนวนมาก จึงต้องควบคุมตัวไว้ดำเนินคดี และ ทาง สตม.ก็ได้ออกคำสั่งประทับตราลูกความทั้ง 5 คนของตนว่า เป็นบุคคลอันตรายและเป็นภัยต่อความมั่นคงของราชอาณาจักรไทยไปแล้ว ซึ่งขณะนี้กำลังดูว่าจะขอยกเลิกคำสั่งนี้ได้หรือไม่