ศาลล้มละลายกลาง ยกฟ้องไม่สั่ง “เสธ.แดง” เป็นบุคคลล้มละลาย ชี้รับราชการทหารมีเงินเดือนประจำ อยู่ในวิสัยหาเงินชดใช้ “พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์” อดีต ผบ.ตร.ได้ ตามคำพิพากษาคดีแพ่ง ด้านทนายยังอุทธรณ์ต่อ
วันนี้ (28 ม.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ห้องพิจารณาคดี 12 ศาลล้มละลายกลาง ถ.แจ้งวัฒนะ ศาลออกนั่งบัลลังก์ มีคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ ล.8708/2551 ที่ พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ อดีต ผบ.ตร. เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ซึ่งถูกพักราชการ เป็นจำเลยเรื่องขอให้ศาลมีคำสั่งให้เป็นบุคคลล้มละลาย เนื่องจาก พล.ต.ขัตติยะ ไม่ชำระเงินจำนวน 20 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ให้กับ พล.ต.อ.สันต์ ตามที่ศาลแพ่ง มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 28 ส.ค.49 ให้ชำระเงินดังกล่าวในคดีละเมิดจากการหมิ่นประมาท
โดยศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วเห็นว่า แม้ว่า พล.ต.ขัตติยะ ในฐานะลูกหนี้จะเบิกความยอมรับมูลหนี้ดังกล่าว แต่ทางนำสืบลูกหนี้แสดงให้เห็นว่ารับราชการตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิ กองทัพบก ได้รับเงินเดือนพร้อมเงินประจำตำแหน่ง เป็นประจำทุกเดือนประมาณ 80,000 บาทเศษ และแม้ว่าคำพิพากษาศาลแพ่งจะผูกพันให้จำเลยต้องปฏิบัติตาม แต่คดีหมิ่นประมาทดังกล่าวยังอาจมีการเปลี่ยนแปลงผลคำพิพากษาในชั้นอุทธรณ์ ซึ่งคำพิพากษาอาจแตกต่างกันได้ในแต่ละชั้นศาล และเมื่อพิจารณาว่าลูกหนี้รับราชการเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ได้รับเงินเดือนต่อเนื่องมีรายได้พอสมควร จึงเชื่อว่าหากศาลให้ชำระเงินก็ยังอยู่ในสภาวะที่สามารถขนขวายหาเงินมาชำระได้ กรณีดังกล่าวไม่มีเหตุเพียงพอที่สั่งให้ลูกหนี้นั้นเป็นบุคคลล้มละลาย ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งและวิธีพิจารณาคดีศาลล้มละลายกลาง พ.ศ.2542 มาตรา 14 พิพากษาให้ยกฟ้อง
ขณะที่ นายบัญชา ปรมีศณาภรณ์ ทนายความของ พล.ต.อ.สันต์ กล่าวว่า จะยื่นอุทธรณ์คดีต่อไป พร้อมยกคดีซึ่งศาลเคยมีคำพิพากษาในคดีอื่นที่สั่งให้เป็นบุคคลล้มละลายได้แม้คดียังไม่ถึงที่สุด
อย่างไรก็ดี ในวันนี้ พล.ต.ขัตติยะ ไม่ได้เดินทางมาฟังคำพิพากษา แต่มอบอำนาจให้ทนายความมาฟังคำพิพากษาแทน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีแพ่งที่ พล.ต.อ.สันต์ ยื่นฟ้อง พล.ต.ขัตติยะ นั้น คดีอยู่ระหว่างอุทธรณ์ ส่วนคดีอาญาที่ พล.ต.อ.สันต์ ยื่นฟ้อง พล.ต.ขัตติยะ ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณานั้น คดียังไม่มีคำพิพากษาอยู่ระหว่างสืบพยาน ซึ่งมูลเหตุที่มีการยื่นฟ้องหมิ่นประมาทนั้น พล.ต.ขัตติยะ ให้สัมภาษณ์ถึง พล.ต.อ.สันต์ ว่า ขณะดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร. มีพฤติกรรมทุจริตจัดซื้อจัดจ้าง และมีพฤติการณ์ช่วยเหลือนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ คดีรื้อบาร์เบียร์ และ พล.ต.อ.สันต์ มีส่วนร่วมในการสั่งอุ้ม พล.ต.ขัตติยะ จากโรงแรมดิเอมเมอรัลด์ ย่านรัชดาภิเษก ขณะที่เมื่อวันที่ 3 ก.ย.46 พล.ต.ขัตติยะ ได้รวบรวมรายชื่อ 50,000 ชื่อเสนอประธานวุฒิสภา ถอดถอน พล.ต.อ.สันต์ ออกจากตำแหน่ง ผบ.ตร.
วันนี้ (28 ม.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ห้องพิจารณาคดี 12 ศาลล้มละลายกลาง ถ.แจ้งวัฒนะ ศาลออกนั่งบัลลังก์ มีคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ ล.8708/2551 ที่ พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ อดีต ผบ.ตร. เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ซึ่งถูกพักราชการ เป็นจำเลยเรื่องขอให้ศาลมีคำสั่งให้เป็นบุคคลล้มละลาย เนื่องจาก พล.ต.ขัตติยะ ไม่ชำระเงินจำนวน 20 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ให้กับ พล.ต.อ.สันต์ ตามที่ศาลแพ่ง มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 28 ส.ค.49 ให้ชำระเงินดังกล่าวในคดีละเมิดจากการหมิ่นประมาท
โดยศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วเห็นว่า แม้ว่า พล.ต.ขัตติยะ ในฐานะลูกหนี้จะเบิกความยอมรับมูลหนี้ดังกล่าว แต่ทางนำสืบลูกหนี้แสดงให้เห็นว่ารับราชการตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิ กองทัพบก ได้รับเงินเดือนพร้อมเงินประจำตำแหน่ง เป็นประจำทุกเดือนประมาณ 80,000 บาทเศษ และแม้ว่าคำพิพากษาศาลแพ่งจะผูกพันให้จำเลยต้องปฏิบัติตาม แต่คดีหมิ่นประมาทดังกล่าวยังอาจมีการเปลี่ยนแปลงผลคำพิพากษาในชั้นอุทธรณ์ ซึ่งคำพิพากษาอาจแตกต่างกันได้ในแต่ละชั้นศาล และเมื่อพิจารณาว่าลูกหนี้รับราชการเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ได้รับเงินเดือนต่อเนื่องมีรายได้พอสมควร จึงเชื่อว่าหากศาลให้ชำระเงินก็ยังอยู่ในสภาวะที่สามารถขนขวายหาเงินมาชำระได้ กรณีดังกล่าวไม่มีเหตุเพียงพอที่สั่งให้ลูกหนี้นั้นเป็นบุคคลล้มละลาย ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งและวิธีพิจารณาคดีศาลล้มละลายกลาง พ.ศ.2542 มาตรา 14 พิพากษาให้ยกฟ้อง
ขณะที่ นายบัญชา ปรมีศณาภรณ์ ทนายความของ พล.ต.อ.สันต์ กล่าวว่า จะยื่นอุทธรณ์คดีต่อไป พร้อมยกคดีซึ่งศาลเคยมีคำพิพากษาในคดีอื่นที่สั่งให้เป็นบุคคลล้มละลายได้แม้คดียังไม่ถึงที่สุด
อย่างไรก็ดี ในวันนี้ พล.ต.ขัตติยะ ไม่ได้เดินทางมาฟังคำพิพากษา แต่มอบอำนาจให้ทนายความมาฟังคำพิพากษาแทน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีแพ่งที่ พล.ต.อ.สันต์ ยื่นฟ้อง พล.ต.ขัตติยะ นั้น คดีอยู่ระหว่างอุทธรณ์ ส่วนคดีอาญาที่ พล.ต.อ.สันต์ ยื่นฟ้อง พล.ต.ขัตติยะ ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณานั้น คดียังไม่มีคำพิพากษาอยู่ระหว่างสืบพยาน ซึ่งมูลเหตุที่มีการยื่นฟ้องหมิ่นประมาทนั้น พล.ต.ขัตติยะ ให้สัมภาษณ์ถึง พล.ต.อ.สันต์ ว่า ขณะดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร. มีพฤติกรรมทุจริตจัดซื้อจัดจ้าง และมีพฤติการณ์ช่วยเหลือนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ คดีรื้อบาร์เบียร์ และ พล.ต.อ.สันต์ มีส่วนร่วมในการสั่งอุ้ม พล.ต.ขัตติยะ จากโรงแรมดิเอมเมอรัลด์ ย่านรัชดาภิเษก ขณะที่เมื่อวันที่ 3 ก.ย.46 พล.ต.ขัตติยะ ได้รวบรวมรายชื่อ 50,000 ชื่อเสนอประธานวุฒิสภา ถอดถอน พล.ต.อ.สันต์ ออกจากตำแหน่ง ผบ.ตร.