หลากหลายกลวิธีล่อจับเครือข่ายนักค้ายา กับความเอาจริงเอาจังในการป้องกันปราบปรามยาเสพติด หวังถอนรากถอนโคนสืบสาวเชื่อมโยงเอาผิดกับระดับบิ๊ก นักค้ารายใหญ่ ที่ตำรวจไทย โดยมีหน่วยงาน กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) และสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) คอยโชว์ผลงานการจับกุมตามนโยบายรัฐบาล ภายใต้ยุทธศาสตร์ 5 รั้ว โดยเน้นปราบปรามตามแนว "รั้วชายแดน - รั้วชุมชน - รั้วสังคม - รั้วโรงเรียน - รั้วครอบครัว" ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ปราบปรามยาเสพติด ได้คอยเฝ้าเกาะติดสถานการณ์ จับตาพฤติกรรมความเคลื่อนไหวของเหล่าบรรดา นักค้าขาใหญ่ เอเยนต์ พ่อค้าปลีก จุดขายยาเสพติดตามแหล่งชุมชน เพื่อติดตามตะครุบขบวนการค้ายานรก
การถูกเลือกให้เข้ามาเป็นแกนนำบริหารประเทศ พร้อมประกาศนโยบายปราบปรามยาเสพติด ของรัฐบาล "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ตลอดระยะเวลากว่าหนึ่งปี ซึ่งเมื่อเช็กผลงานปราบปรามยาเสพติดตามที่ได้ชูเป็นนโยบายหลักแล้ว ตั้งแต่ปี 2552 จนถึงขณะนี้ ขุมข่ายผู้ค้ายายังคงระบายขายยาเสพติด ไม่ว่าจะเป็นยาไอซ์ ยาบ้า โคเคน กัญชา เฮโรอีน พร้อมกับเลือกฐานทำเลทองในพื้นที่ประเทศไทยเป็นจุดพักยา หรือ ส่งมอบค้ายาผ่านเครือข่ายรายใหญ่ระดับโลกให้กับลูกค้าสิงห์นักเสพอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด ซึ่งจนแล้วจนรอด เจ้าหน้าที่รัฐก็ยังไม่สามารถจับนักค้าระดับบิ๊กซึ่งอยู่เบื้องหลังมาลงโทษให้สาสมได้
การค้ายาเสพติดยังผุดเป็นดอกเห็ด โดยสถิติการจับกุมช่วงปี 2552 ชี้ให้เห็นถึงปัญหาแพร่ระบาดของยาเสพติดได้ขยายวงกว้างส่งผลให้กรุงเทพมหานคร ครองแชมป์อันดับ 1 มียาเสพติดเกลื่อนเมือง ขณะที่ "พล.ต.ท.อติเทพ ปัญจมานนท์" ผบช.ปส. ได้เน้นกำชับเจ้าหน้าที่ปราบปราม ให้บุกจู่โจมตรวจค้น พร้อมกวาดล้างเครือข่ายผู้ค้ายาใน 156 ชุมชน พร้อมทั้งระบุว่า พบข้อมูลสถิติของผู้เสพทั่วประเทศขณะนี้มีประมาณ 500,000 คน เฉพาะใน กทม. มีกว่า 300,000 คนแล้ว นอกจากนี้ มีสถิติยึดของกลางยาเสพติดตั้งแต่ต้นเดือน ม.ค. - ธ.ค. 52 ได้กว่า 20,000,000 เม็ด
ทั้งนี้ ยังพบเส้นทางการลักลอบนำเข้ายาเสพติดสู่ประเทศไทยส่วนใหญ่ ยาบ้าจะถูกนำเข้ามาทางภาคเหนือ ขณะที่กัญชาจะถูกนำเข้ามาทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พื้นที่ที่มีการลักลอบนำเข้ามากที่สุด ได้แก่ จ.เชียงราย อ.แม่สาย อ.เชียงแสน อ.เชียงดาว อ.เวียงแหง อ.ไชยปราการ อ.แม่อาย , จ.แม่ฮ่องสอน อ.ปาย อ.ปางมะผ้า , จ.หนองคาย อ.เมือง อ.บึงกาฬ , จ.นครพนม อ.ท่าอุเทน อ.บ้านแพง , จ.มุกดาหาร อ.เมือง , จ.อุบลราชธานี อ.เขมราฐ , จ.สระแก้ว อ.อรัญประเทศ โดยการลักลอบนำเข้ายาเสพติดมักใช้วิธีการเบี่ยงเบนความสนใจของเจ้าหน้าที่ทำกันในช่วงเทศกาลต่าง ๆ ซึ่งจะซุกซ่อนมากับสินค้าเกษตร ดัดแปลงพาหนะ ซุกอยู่ตามร่างกายสัตว์ หรือคน บางครั้งก็มีลักลอบนำเข้าทางพัสดุไปรษณีย์ และอาจทำกันในลักษณะกองทัพมด
กับ 5 แนวรั้วที่ "อภิสิทธิ์" ได้ประกาศเป็นศัตรูกับขบวนการค้ายาเสพติดที่สร้างความเสียหายต่อประเทศชาติ ส่งให้ทุกหน่วยงานที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบกับการปราบปรามมีความตื่นตัว ล้างบางแก๊งค้ายาเสพติด แม้จะยังไม่หมดไปทันที แต่ก็เห็นว่าทุเลาเบาบางลงไปได้บ้าง และสามารถชะลอการค้ายาจนทำได้ยากลำบากมากขึ้น
ย้อนไปดูผลงานชิ้นโบว์แดงในการไล่จับนักค้ายารายใหญ่เมื่อปีที่ผ่านมา เฉพาะช่วงเดือนธันวาคม ปี 2552 เริ่มที่ระดับบิ๊ก เรียงหน้าแถลงผลงานการจับกุมยาเสพติดล็อตมโหฬาร 500 ล้าน นำโดย "สุเทพ เทือกสุบรรณ" รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง "พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค" รมว.ยุติธรรม "พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ" รรท.ผบ.ตร. "พล.ต.ท.กฤษณะ ผลอนันต์" เลขาธิการ ป.ป.ส. ได้ยิ้มแป้นทำตัวเป็นข่าวใหญ่ในการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ บช.ปส. จับ 2 ผู้ต้องหา นายอาทิตย์ หรือตี๋ แซ่เถา และ นายกวงหยุ่ง แซ่เจ๊า พร้อมยึดของกลางยาบ้า 1,980,000 เม็ด ไอซ์ 32 กิโลกรัม เฮโรอีน 3.5 กิโลกรัม มูลค่ากว่า 500 ล้านบาท โดยคาดว่าลำเลียงมาจากชายแดนไทย-พม่า ซึ่งติดต่อผ่าน "ห้า ท่าขี้เหล็ก" หนึ่งในเครือข่าย "เหวย เซียะ กัง" นักค้ายาเสพติดระดับโลก โดยแอบซ่อนมากับลังส้ม แล้วพักยาไว้ที่ทาวน์เฮาส์ ก่อนจะทยอยส่งให้เอเยนต์ตามใบสั่ง
"เทพเทือก" ร่วมแจมโชว์แถลงจับยาบ้า-ไอซ์ 70 ล้าน ร่วมกับ "พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ" รักษาราชการแทน ผบ.ตร. พร้อมบิ๊กตำรวจ โดยได้จับกุมนายเจตต์ศดา หรือเป้ อรุณศรี , นายณัฐกิตติ หรือโอ๊ต ภักดี พร้อมของกลางยาบ้า 140,000 เม็ด ยาไอซ์ 11.8 กก. มูลค่ากว่า 70 ล้านบาท ซึ่งครั้งนี้ตำรวจเค้นสอบได้ความว่า ผู้ต้องหาจะติดต่อเอเยนต์ที่อยู่ในเรือนจำแห่งหนึ่ง ซึ่งเอเยนต์จะติดต่อไปยัง นายหมิ่งตู ชาวพม่า ซึ่งจะเป็นคนลำเลียงยาเสพติดมาส่งให้กับนายเจตต์ศดาที่ชายแดน สำหรับวิธีการลำเลียงยาบ้าของผู้ต้องหา บางครั้งจะใช้วิธีการเอายาบ้าใส่กล่องพัสดุ ก่อนนำไปทิ้งไว้ตามจุดนัดหมาย รอจนกว่าลูกค้ามารับ เพื่อหลีกหนีการจับกุม
แม้นักค้ายาจะคิดวิธีการอำพรางยานรกขนส่งด้วยแนวทางใดก็ตาม เพื่อให้ส่งตรงถึงมือนักเสพ แต่ตำรวจก็ตาไวสะกดรอย ตามจับกุมมาดำเนินคดีจนได้ ซึ่งในเครือข่ายค้ายาภาคอีสาน เจ้าหน้าที่ บช.ปส. ได้จับกุมกลุ่มผู้ค้ายาบ้ารายใหญ่ นายประเสริฐ เจริญสุข , นายดนัย ธรรมทักษา , นายพลากร ประมนต์ พร้อมของกลางยาบ้า 36,000 เม็ด ที่ซุกซ่อนอยู่ในช่องลับภายในห้องโดยสาร นอกจากนี้ยังมี ปืนสั้น .357 , ปืนสั้น .38 และปืนลูกกรด .22 แถมมีเสื้อเกราะกันกระสุน ครบสูตร ซึ่งหมายถึงความเตรียมพร้อมหากถูกเข้าชาร์ทจับกุม ก็พร้อมเผชิญหน้าปะทะกับตำรวจทุกเมื่อ
อีกรายเจ้าหน้าที่ตำรวจ ปส. ได้รวบตัวนายชุติเดช บุญทวี หรือ “เดช บางแสน” ค้ายาเสพติดรายใหญ่ในพื้นที่จังหวัดชลบุรี ยึดของกลางยาบ้า ที่แอบซุกซ่อนไว้ในกล่องของขวัญบรรจุอยู่ภายในตุ๊กตาแรด พร้อมทั้งขยายผลตรวจค้นห้องพักพบมียาบ้าอยู่ใต้เตียงนอน รวมทั้งหมด 106,000 เม็ด
ขณะเดียวกันในส่วนของ "นครบาล" โดย "พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์" ผบช.น. ก็ไม่ยิ่งหย่อนกับการปราบปรามยาเสพติดเช่นกัน ได้จับกุมนายลาร์บี้ จอร์จ ชาวกาน่า ของกลางโคเคน 1 กิโลกรัม มูลค่ากว่า 3 ล้านบาท ซึ่งผู้ต้องหารายนี้เจ้าหน้าที่ตรวจพบเดินทางเข้าออกกัมพูชา-ไทยหลายครั้ง เพื่อรับโคนมาเจาะขายกลุ่มไฮโซไทย
ตลอดช่วงปีที่ผ่านมา ตำรวจยังคงมุ่งหน้าปราบปรามยาเสพติดต่อเนื่อง โดยภาค 1 ได้โชว์ผลงานการล่อซื้อและเข้าจับกุมแก๊งค้ายายกเซตนำโดย "พล.ต.ท.กฤษฎา พันธุ์คงชื่น" ผบช.ภ.1 แถลงจับ นายธเนศร์ ชาญวุฒิธรรม , นายนฤพนธ์ นาทเวสน์ ,นางสาวสุภาพร แพงอ่อน ,นายมนัส กิมเลี้ยง , นายนายคมสัน แผ่นสุวรรณ ,นายวันชัย บุรีงาม ,นายศิริขวัญ จันทร์หนองสรวง พร้อมของกลาง 173,660 เม็ด ยาไอซ์ 3.5 กิโลกรัม
และขอปิดท้ายที่ สำนักงาน ป.ป.ส. พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แถลงผลการจับกุมนายชัชวาลย์ เมธากุลพิพัฒน์ , นายชัยมนตรี ร่มพนาธรรม ของกลางยาบ้ากว่า 780,000 เม็ด ซึ่งผู้ต้องหาเคยมีชื่อในบัญชีดำของตำรวจปราบยาเสพติดมาก่อน แต่หายเงียบไปกว่า 2 ปี แล้วย้อนกลับมาขนอีกครั้ง และมาถูกจับกุม
สถานการณ์ยาเสพติดในช่วงปี 2553 เสือคำราม ยังคงคุกรุ่นส่อไปในทางที่จะรุนแรงมากขึ้น แม้การปราบปรามจะขึงขังจริงจังก็ตาม โดย "พล.ต.ท.กฤษณะ ผลอนันต์" เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(ปปส.) คาดการณ์ว่า เนื่องจากการผลิตในประเทศเพื่อนบ้านยังมีความรุนแรง และผลิตมากกว่าปกติ อีกทั้งหลังจากการสู้รบในประเทศเพื่อนบ้าน คาดว่าจะมีการนำเข้ายาเสพติดเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น จะต้องปรับยุทธศาสตร์การทำงานให้เข้มข้นมากขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดน 3 จังหวัดภาคเหนือ จะต้องเน้นการทำงานทั้งในและนอกประเทศ โดยจะมีการประสานงานกับประเทศพม่า ลาวและจีน รวมทั้งจัดชุดปฏิบัติร่วมเพื่อลาดตระเวน ประสานการข่าว เพื่อกวาดล้างปราบปรามให้จริงจังเห็นผล พร้อมทั้งสกัดกั้นไม่ให้มีการแพร่ระบาดในไทยมากขึ้น พร้อมกันนี้ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ได้ปล่อยแถวตำรวจ เทศกิจ ค้นชุมชนแหล่งระบาดยาเสพติด 156 แห่ง ทั่ว กทม. หลังจากพบข้อมูลเฉพาะเมืองกรุงมีผู้เสพยาถึง 3 แสนคน และได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานด้วยความละมุนละม่อม ยึดหลักสิทธิมนุษยชน ไม่อุ้มฆ่า
หากเปรียบการปราบปรามยาเสพติดในยุค "ทักษิณ" เมื่อปี 2547 ซึ่งกระทำการบูมบ่ามรุนแรง โดยมีการฆ่าตัดตอนมากถึง 2,921ราย ในท่ามกลางเสียงแซ่ซ้องสรรเสริญกับนโยบายปราบปรามยาเสพติด ที่เปรียบเสมือนการกวาดขยะเข้าใต้พรม โดยในยุคนั้นตำรวจให้เหตุผลว่าเป็นการฆ่าตัดตอนกันเองของนักค้ายาเสพติดบ้าง หรือหากเป็นการทำให้เสียชีวิตโดยตำรวจเอง ก็จะให้เหตุผลว่านักค้ายาต่อสู้ขัดขวางการจับกุมจึงต้องวิสามัญฯ จนในที่สุดนำมาสู่คำถามการตายของพวกเขาเหล่านั้นเป็นฝีมือใครกันแน่ และผู้ตายเกี่ยวข้องกับยาเสพติดจริงหรือไม่ และสมัยรัฐบาล "ทักษิณ" มีคดีการเสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำอยู่หลายคดี ซึ่งยังคงเป็นปริศนาที่ต้องหาคำตอบกันจนถึงทุกวันนี้
หันมามองการทำงานของ รัฐบาลสมัย "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" กับการเดินหน้าแก้ปัญหายาเสพติด 14 จังหวัดภาคใต้ โดยให้จังหวัดสงขลา นำร่อง เน้นกวาดล้าง 1,300 หมู่บ้าน เพื่อประกาศให้เป็นหมู่บ้านสีขาวให้ได้ ซึ่งการทำงานครั้งนี้อยู่ภายใต้การดูแลรับผิดชอบของกระทรวงมหาดไทย โดย "ถาวร เสนเนียม" รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นหัวหอกสำคัญขับเคลื่อนงานให้เกิดผล ซึ่งจะเน้นปราบปรามยาเสพติดและผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ภาคใต้ ใช้วิธีการจัดทำประชาคมทางลับ เพื่อค้นหาผู้ค้า ผู้เสพ ผู้เกี่ยวข้อง ให้ประชาชนในพื้นที่ทั่วทุกหมู่บ้านมีส่วนร่วมกับเจ้าหน้าที่รัฐ ขยายสืบจับสาวให้ถึงเครือข่ายค้ายาที่แท้จริงจะได้ปราบปรามพุ่งตรงเป้าหมาย
ณ วันนี้ หากจะเทียบฟอร์มระหว่างนโยบาย "ทักษิณ" กับ นโยบาย "อภิสิทธิ์" แล้ว เห็นได้ชัดว่าการฆ่าตัดตอนในยุคนี้ไม่มีเกิดขึ้น แต่กลับยึดของกลางได้มาก พร้อมสืบขยายผลตามจับกุมได้เพิ่มขึ้น กับความแตกต่างที่เกิดขึ้น ขอฝากความหวังไว้ที่ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" นายกรัฐมนตรี ช่วยแก้ปัญหายาเสพติดให้จริงจัง ต่อเนื่อง และคงไม่มีเหตุให้ยุบสภาก่อนที่การปราบปรามยาเสพติดจะเห็นผลเกิประสิทธิภาพได้ ซึ่งรัฐบาลคงจะต้องมาช่วยกันคิด เพื่อหาทางในการแก้ปัญหายาเสพติดที่ระบาดรุนแรงขึ้นในรอบปีนี้เช่นกัน หวังว่าการปราบปรามยาเสพติดคงจะไม่สะดุด หยุดชะงัก และต้องเปลี่ยนนโยบายใหม่เริ่มต้นใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้มีสูญญากาศ มีเพียงความว่างเปล่ากับการแก้ปัญหาและเป็นขี้ช้างไล่จับตั๊กแตน หรือ ตามไล่จับปลาซิว แต่กลับไปไม่ถึงนักค้ายาระดับชาติ เพื่อลากตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายเสียที
การถูกเลือกให้เข้ามาเป็นแกนนำบริหารประเทศ พร้อมประกาศนโยบายปราบปรามยาเสพติด ของรัฐบาล "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ตลอดระยะเวลากว่าหนึ่งปี ซึ่งเมื่อเช็กผลงานปราบปรามยาเสพติดตามที่ได้ชูเป็นนโยบายหลักแล้ว ตั้งแต่ปี 2552 จนถึงขณะนี้ ขุมข่ายผู้ค้ายายังคงระบายขายยาเสพติด ไม่ว่าจะเป็นยาไอซ์ ยาบ้า โคเคน กัญชา เฮโรอีน พร้อมกับเลือกฐานทำเลทองในพื้นที่ประเทศไทยเป็นจุดพักยา หรือ ส่งมอบค้ายาผ่านเครือข่ายรายใหญ่ระดับโลกให้กับลูกค้าสิงห์นักเสพอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด ซึ่งจนแล้วจนรอด เจ้าหน้าที่รัฐก็ยังไม่สามารถจับนักค้าระดับบิ๊กซึ่งอยู่เบื้องหลังมาลงโทษให้สาสมได้
การค้ายาเสพติดยังผุดเป็นดอกเห็ด โดยสถิติการจับกุมช่วงปี 2552 ชี้ให้เห็นถึงปัญหาแพร่ระบาดของยาเสพติดได้ขยายวงกว้างส่งผลให้กรุงเทพมหานคร ครองแชมป์อันดับ 1 มียาเสพติดเกลื่อนเมือง ขณะที่ "พล.ต.ท.อติเทพ ปัญจมานนท์" ผบช.ปส. ได้เน้นกำชับเจ้าหน้าที่ปราบปราม ให้บุกจู่โจมตรวจค้น พร้อมกวาดล้างเครือข่ายผู้ค้ายาใน 156 ชุมชน พร้อมทั้งระบุว่า พบข้อมูลสถิติของผู้เสพทั่วประเทศขณะนี้มีประมาณ 500,000 คน เฉพาะใน กทม. มีกว่า 300,000 คนแล้ว นอกจากนี้ มีสถิติยึดของกลางยาเสพติดตั้งแต่ต้นเดือน ม.ค. - ธ.ค. 52 ได้กว่า 20,000,000 เม็ด
ทั้งนี้ ยังพบเส้นทางการลักลอบนำเข้ายาเสพติดสู่ประเทศไทยส่วนใหญ่ ยาบ้าจะถูกนำเข้ามาทางภาคเหนือ ขณะที่กัญชาจะถูกนำเข้ามาทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พื้นที่ที่มีการลักลอบนำเข้ามากที่สุด ได้แก่ จ.เชียงราย อ.แม่สาย อ.เชียงแสน อ.เชียงดาว อ.เวียงแหง อ.ไชยปราการ อ.แม่อาย , จ.แม่ฮ่องสอน อ.ปาย อ.ปางมะผ้า , จ.หนองคาย อ.เมือง อ.บึงกาฬ , จ.นครพนม อ.ท่าอุเทน อ.บ้านแพง , จ.มุกดาหาร อ.เมือง , จ.อุบลราชธานี อ.เขมราฐ , จ.สระแก้ว อ.อรัญประเทศ โดยการลักลอบนำเข้ายาเสพติดมักใช้วิธีการเบี่ยงเบนความสนใจของเจ้าหน้าที่ทำกันในช่วงเทศกาลต่าง ๆ ซึ่งจะซุกซ่อนมากับสินค้าเกษตร ดัดแปลงพาหนะ ซุกอยู่ตามร่างกายสัตว์ หรือคน บางครั้งก็มีลักลอบนำเข้าทางพัสดุไปรษณีย์ และอาจทำกันในลักษณะกองทัพมด
กับ 5 แนวรั้วที่ "อภิสิทธิ์" ได้ประกาศเป็นศัตรูกับขบวนการค้ายาเสพติดที่สร้างความเสียหายต่อประเทศชาติ ส่งให้ทุกหน่วยงานที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบกับการปราบปรามมีความตื่นตัว ล้างบางแก๊งค้ายาเสพติด แม้จะยังไม่หมดไปทันที แต่ก็เห็นว่าทุเลาเบาบางลงไปได้บ้าง และสามารถชะลอการค้ายาจนทำได้ยากลำบากมากขึ้น
ย้อนไปดูผลงานชิ้นโบว์แดงในการไล่จับนักค้ายารายใหญ่เมื่อปีที่ผ่านมา เฉพาะช่วงเดือนธันวาคม ปี 2552 เริ่มที่ระดับบิ๊ก เรียงหน้าแถลงผลงานการจับกุมยาเสพติดล็อตมโหฬาร 500 ล้าน นำโดย "สุเทพ เทือกสุบรรณ" รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง "พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค" รมว.ยุติธรรม "พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ" รรท.ผบ.ตร. "พล.ต.ท.กฤษณะ ผลอนันต์" เลขาธิการ ป.ป.ส. ได้ยิ้มแป้นทำตัวเป็นข่าวใหญ่ในการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ บช.ปส. จับ 2 ผู้ต้องหา นายอาทิตย์ หรือตี๋ แซ่เถา และ นายกวงหยุ่ง แซ่เจ๊า พร้อมยึดของกลางยาบ้า 1,980,000 เม็ด ไอซ์ 32 กิโลกรัม เฮโรอีน 3.5 กิโลกรัม มูลค่ากว่า 500 ล้านบาท โดยคาดว่าลำเลียงมาจากชายแดนไทย-พม่า ซึ่งติดต่อผ่าน "ห้า ท่าขี้เหล็ก" หนึ่งในเครือข่าย "เหวย เซียะ กัง" นักค้ายาเสพติดระดับโลก โดยแอบซ่อนมากับลังส้ม แล้วพักยาไว้ที่ทาวน์เฮาส์ ก่อนจะทยอยส่งให้เอเยนต์ตามใบสั่ง
"เทพเทือก" ร่วมแจมโชว์แถลงจับยาบ้า-ไอซ์ 70 ล้าน ร่วมกับ "พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ" รักษาราชการแทน ผบ.ตร. พร้อมบิ๊กตำรวจ โดยได้จับกุมนายเจตต์ศดา หรือเป้ อรุณศรี , นายณัฐกิตติ หรือโอ๊ต ภักดี พร้อมของกลางยาบ้า 140,000 เม็ด ยาไอซ์ 11.8 กก. มูลค่ากว่า 70 ล้านบาท ซึ่งครั้งนี้ตำรวจเค้นสอบได้ความว่า ผู้ต้องหาจะติดต่อเอเยนต์ที่อยู่ในเรือนจำแห่งหนึ่ง ซึ่งเอเยนต์จะติดต่อไปยัง นายหมิ่งตู ชาวพม่า ซึ่งจะเป็นคนลำเลียงยาเสพติดมาส่งให้กับนายเจตต์ศดาที่ชายแดน สำหรับวิธีการลำเลียงยาบ้าของผู้ต้องหา บางครั้งจะใช้วิธีการเอายาบ้าใส่กล่องพัสดุ ก่อนนำไปทิ้งไว้ตามจุดนัดหมาย รอจนกว่าลูกค้ามารับ เพื่อหลีกหนีการจับกุม
แม้นักค้ายาจะคิดวิธีการอำพรางยานรกขนส่งด้วยแนวทางใดก็ตาม เพื่อให้ส่งตรงถึงมือนักเสพ แต่ตำรวจก็ตาไวสะกดรอย ตามจับกุมมาดำเนินคดีจนได้ ซึ่งในเครือข่ายค้ายาภาคอีสาน เจ้าหน้าที่ บช.ปส. ได้จับกุมกลุ่มผู้ค้ายาบ้ารายใหญ่ นายประเสริฐ เจริญสุข , นายดนัย ธรรมทักษา , นายพลากร ประมนต์ พร้อมของกลางยาบ้า 36,000 เม็ด ที่ซุกซ่อนอยู่ในช่องลับภายในห้องโดยสาร นอกจากนี้ยังมี ปืนสั้น .357 , ปืนสั้น .38 และปืนลูกกรด .22 แถมมีเสื้อเกราะกันกระสุน ครบสูตร ซึ่งหมายถึงความเตรียมพร้อมหากถูกเข้าชาร์ทจับกุม ก็พร้อมเผชิญหน้าปะทะกับตำรวจทุกเมื่อ
อีกรายเจ้าหน้าที่ตำรวจ ปส. ได้รวบตัวนายชุติเดช บุญทวี หรือ “เดช บางแสน” ค้ายาเสพติดรายใหญ่ในพื้นที่จังหวัดชลบุรี ยึดของกลางยาบ้า ที่แอบซุกซ่อนไว้ในกล่องของขวัญบรรจุอยู่ภายในตุ๊กตาแรด พร้อมทั้งขยายผลตรวจค้นห้องพักพบมียาบ้าอยู่ใต้เตียงนอน รวมทั้งหมด 106,000 เม็ด
ขณะเดียวกันในส่วนของ "นครบาล" โดย "พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์" ผบช.น. ก็ไม่ยิ่งหย่อนกับการปราบปรามยาเสพติดเช่นกัน ได้จับกุมนายลาร์บี้ จอร์จ ชาวกาน่า ของกลางโคเคน 1 กิโลกรัม มูลค่ากว่า 3 ล้านบาท ซึ่งผู้ต้องหารายนี้เจ้าหน้าที่ตรวจพบเดินทางเข้าออกกัมพูชา-ไทยหลายครั้ง เพื่อรับโคนมาเจาะขายกลุ่มไฮโซไทย
ตลอดช่วงปีที่ผ่านมา ตำรวจยังคงมุ่งหน้าปราบปรามยาเสพติดต่อเนื่อง โดยภาค 1 ได้โชว์ผลงานการล่อซื้อและเข้าจับกุมแก๊งค้ายายกเซตนำโดย "พล.ต.ท.กฤษฎา พันธุ์คงชื่น" ผบช.ภ.1 แถลงจับ นายธเนศร์ ชาญวุฒิธรรม , นายนฤพนธ์ นาทเวสน์ ,นางสาวสุภาพร แพงอ่อน ,นายมนัส กิมเลี้ยง , นายนายคมสัน แผ่นสุวรรณ ,นายวันชัย บุรีงาม ,นายศิริขวัญ จันทร์หนองสรวง พร้อมของกลาง 173,660 เม็ด ยาไอซ์ 3.5 กิโลกรัม
และขอปิดท้ายที่ สำนักงาน ป.ป.ส. พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แถลงผลการจับกุมนายชัชวาลย์ เมธากุลพิพัฒน์ , นายชัยมนตรี ร่มพนาธรรม ของกลางยาบ้ากว่า 780,000 เม็ด ซึ่งผู้ต้องหาเคยมีชื่อในบัญชีดำของตำรวจปราบยาเสพติดมาก่อน แต่หายเงียบไปกว่า 2 ปี แล้วย้อนกลับมาขนอีกครั้ง และมาถูกจับกุม
สถานการณ์ยาเสพติดในช่วงปี 2553 เสือคำราม ยังคงคุกรุ่นส่อไปในทางที่จะรุนแรงมากขึ้น แม้การปราบปรามจะขึงขังจริงจังก็ตาม โดย "พล.ต.ท.กฤษณะ ผลอนันต์" เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(ปปส.) คาดการณ์ว่า เนื่องจากการผลิตในประเทศเพื่อนบ้านยังมีความรุนแรง และผลิตมากกว่าปกติ อีกทั้งหลังจากการสู้รบในประเทศเพื่อนบ้าน คาดว่าจะมีการนำเข้ายาเสพติดเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น จะต้องปรับยุทธศาสตร์การทำงานให้เข้มข้นมากขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดน 3 จังหวัดภาคเหนือ จะต้องเน้นการทำงานทั้งในและนอกประเทศ โดยจะมีการประสานงานกับประเทศพม่า ลาวและจีน รวมทั้งจัดชุดปฏิบัติร่วมเพื่อลาดตระเวน ประสานการข่าว เพื่อกวาดล้างปราบปรามให้จริงจังเห็นผล พร้อมทั้งสกัดกั้นไม่ให้มีการแพร่ระบาดในไทยมากขึ้น พร้อมกันนี้ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ได้ปล่อยแถวตำรวจ เทศกิจ ค้นชุมชนแหล่งระบาดยาเสพติด 156 แห่ง ทั่ว กทม. หลังจากพบข้อมูลเฉพาะเมืองกรุงมีผู้เสพยาถึง 3 แสนคน และได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานด้วยความละมุนละม่อม ยึดหลักสิทธิมนุษยชน ไม่อุ้มฆ่า
หากเปรียบการปราบปรามยาเสพติดในยุค "ทักษิณ" เมื่อปี 2547 ซึ่งกระทำการบูมบ่ามรุนแรง โดยมีการฆ่าตัดตอนมากถึง 2,921ราย ในท่ามกลางเสียงแซ่ซ้องสรรเสริญกับนโยบายปราบปรามยาเสพติด ที่เปรียบเสมือนการกวาดขยะเข้าใต้พรม โดยในยุคนั้นตำรวจให้เหตุผลว่าเป็นการฆ่าตัดตอนกันเองของนักค้ายาเสพติดบ้าง หรือหากเป็นการทำให้เสียชีวิตโดยตำรวจเอง ก็จะให้เหตุผลว่านักค้ายาต่อสู้ขัดขวางการจับกุมจึงต้องวิสามัญฯ จนในที่สุดนำมาสู่คำถามการตายของพวกเขาเหล่านั้นเป็นฝีมือใครกันแน่ และผู้ตายเกี่ยวข้องกับยาเสพติดจริงหรือไม่ และสมัยรัฐบาล "ทักษิณ" มีคดีการเสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำอยู่หลายคดี ซึ่งยังคงเป็นปริศนาที่ต้องหาคำตอบกันจนถึงทุกวันนี้
หันมามองการทำงานของ รัฐบาลสมัย "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" กับการเดินหน้าแก้ปัญหายาเสพติด 14 จังหวัดภาคใต้ โดยให้จังหวัดสงขลา นำร่อง เน้นกวาดล้าง 1,300 หมู่บ้าน เพื่อประกาศให้เป็นหมู่บ้านสีขาวให้ได้ ซึ่งการทำงานครั้งนี้อยู่ภายใต้การดูแลรับผิดชอบของกระทรวงมหาดไทย โดย "ถาวร เสนเนียม" รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นหัวหอกสำคัญขับเคลื่อนงานให้เกิดผล ซึ่งจะเน้นปราบปรามยาเสพติดและผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ภาคใต้ ใช้วิธีการจัดทำประชาคมทางลับ เพื่อค้นหาผู้ค้า ผู้เสพ ผู้เกี่ยวข้อง ให้ประชาชนในพื้นที่ทั่วทุกหมู่บ้านมีส่วนร่วมกับเจ้าหน้าที่รัฐ ขยายสืบจับสาวให้ถึงเครือข่ายค้ายาที่แท้จริงจะได้ปราบปรามพุ่งตรงเป้าหมาย
ณ วันนี้ หากจะเทียบฟอร์มระหว่างนโยบาย "ทักษิณ" กับ นโยบาย "อภิสิทธิ์" แล้ว เห็นได้ชัดว่าการฆ่าตัดตอนในยุคนี้ไม่มีเกิดขึ้น แต่กลับยึดของกลางได้มาก พร้อมสืบขยายผลตามจับกุมได้เพิ่มขึ้น กับความแตกต่างที่เกิดขึ้น ขอฝากความหวังไว้ที่ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" นายกรัฐมนตรี ช่วยแก้ปัญหายาเสพติดให้จริงจัง ต่อเนื่อง และคงไม่มีเหตุให้ยุบสภาก่อนที่การปราบปรามยาเสพติดจะเห็นผลเกิประสิทธิภาพได้ ซึ่งรัฐบาลคงจะต้องมาช่วยกันคิด เพื่อหาทางในการแก้ปัญหายาเสพติดที่ระบาดรุนแรงขึ้นในรอบปีนี้เช่นกัน หวังว่าการปราบปรามยาเสพติดคงจะไม่สะดุด หยุดชะงัก และต้องเปลี่ยนนโยบายใหม่เริ่มต้นใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้มีสูญญากาศ มีเพียงความว่างเปล่ากับการแก้ปัญหาและเป็นขี้ช้างไล่จับตั๊กแตน หรือ ตามไล่จับปลาซิว แต่กลับไปไม่ถึงนักค้ายาระดับชาติ เพื่อลากตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายเสียที