ในช่วงเปิดศักราช 2553 ต้องยอมรับเลยว่าปีขาล นั้นดุๆสมชื่อจริงๆ โดยเฉพาะกรณีนศ. ช่างกลปทุมวัน กับ ก่อสร้างอุเทนถวาย ตีกันข้ามภพข้ามชาติ มาจนถึงทุกวันนี้ ต่างพาเหรดกันขึ้นหน้าหนึ่งเป็นข่าวเด่นประเด็นดังต่อเนื่องกันหลายวัน และมีทีท่าว่าจะไม่หยุด ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นผลพวงของลักษณะสังคมไทยที่รักพวกพ้อง รักสถาบัน เป็นลักษณะนิสัยแบบอิงหมู่ของคนไทย
มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย เดิมทีชื่อ "โรงเรียนก่อสร้างอุเทนถวาย" เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2475 เมื่อเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี รมว.ศึกษาธิการ ดำริให้ก่อตั้งขึ้นในที่ดินของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยบนเนื้อที่ 2 ไร่ ส่วนสถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน เป็นโรงเรียนช่างกลแห่งแรกของประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2475 ในนามโรงเรียนอาชีพช่างกล ณ ตึกพระคลังข้างที่ ตรอกกัปตันบุช ถนนสีลม เขตบางรัก กรุงเทพฯ โดยคณะนายทหารเรือนำโดย น.อ.พระประกอบกลกิจ ด้วยต้องการให้ปลูกฝังอาชีพช่างให้เยาวชนไทย ก่อนย้ายมาตั้งอยู่ที่ตั้งในปัจจุบันเมื่อปี 2482 ตั้งชื่อใหม่ว่าอาชีวศึกษาชั้นสูงแผนกช่างกลและเป็น ช่างกลปทุมวัน จนปี 2541 ได้ยกฐานะเป็นสถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน
มหากาพย์ของ 2 สถาบันแห่งนี้ถ้าจะให้สาวไส้ละก็ยาวเป็นหางว่าวแน่ๆ ว่ากันว่าสมัยก่อนความขัดแย้งของทั้งสองสถาบันไม่ทราบเกิดจากสาเหตุอันใด แต่น่าเชื่อเป็นเรื่องของวุฒิภาวะและความคึกคะนองของวัยรุ่น ประกอบกับทั้งสองสถาบันอยู่ใกล้กัน จึงมีเหตุขัดแย้งกันบ่อย แต่ ณ ตอนนี้ทุกฝ่ายคงต้องลงมาดูเป็นการด่วน เพราะนับวันเริ่มจะทวีความรุนแรงขึ้น แม้ครั้งหนึ่งการกระทบกระทั่งของทั้งสองสถาบันอาจเป็นแค่การขีดพ้นสีตามผนังกำแพง ประกาศศักดาว่า "กูพ่อใคร" "ใครใหญ่" จนเริ่มค่อยๆพัฒนาขึ้นเป็นการชกต่อย ยกพวกตะลุมบอน ตามประสาวิธีชีวิตของลูกผู้ชายในยุคนั้น
แต่ปัจจุบันเหตุการณ์กลับตรงกันข้าม วันเวลาเวียนผ่านเทคโนโลยีทันสมัยขึ้น ทั้งสองเริ่มคิดกลวิธีต่างๆที่จะทำให้อีกฝ่ายต้องบาดเจ็บล้มตาย แม้หลายฝ่ายจะเพียรพยายามให้ทั้งสองสถาบันหย่าศึกลงก็ตาม สุดท้ายมันก็แค่เป็นการจัดฉากสร้างภาพให้ดูดีขึ้นในสายตาของสังคมเท่านั้น "ขอโทษนะครับไม่ได้กินหญ้าเป็นอาหารนะท่าน" มาตราการสั่งห้ามโน่นห้ามนี้ ทำอะไรทรชนเหล่านี้ไม่ได้หรอก ประเภทจับมือออกสื่อบอกให้คนทั้งโลกว่ารักกันแล้วนะ หรือออกมาแสดงเจตนารมย์ว่าจะยุติศึก "แล้วเห็นเปล่า..ทำได้ไหม" ตอนเค้าทำกันเหล่าทรชนพวกนี้อยู่หรือมาร่วมกะเค้าหรอ พวกมันจะมาร่วมทำแมวน้ำอะไร
คดีความของทั้งสองในปีที่ผ่านมามากมายก่ายกองเต็มโรงพัก สน.ปทุมวัน เจ้าของท้องที่ไปหมด ว่ากันว่าคดีส่วนใหญ่ยังจับผู้กระทำผิดไม่ได้ มีผู้คนบาดเจ็บล้มตายในเหตุนองเลือดของทั้งสองสถาบันอยู่โข แม้กระทั่งประชาชนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่กับเหตุการณ์ก็ผลอยโดนลูกหลงไปกับเค้าด้วย เพราะอะไร? ทำไมต้องตีกัน? ตีกันแล้วได้อะไร? สะใจหรอ? บาดเจ็บล้มตายใครละที่เสียใจ? เคยคิดได้ไหม? คำถามเหล่านี้มักเกิดขึ้นเป็นประจำหลังเกิดเรื่องราวการทะเลาะวิวาทขึ้น
มาที่เหตุการณ์ปมขัดแย้งล่าสุดที่ทำให้ศึก"ปทุมวัน-อุเทน"ระอุขึ้นอีก จนทำให้หน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ลงข่าวอยู่หลายสัปดาห์ติด จนทำให้ประเด็นเป็นที่สนใจของสังคมมากขึ้น เริ่มจากช่วงปีส่งท้าย เมื่อวันที่10 ธ.ค.52 เมื่อเวลา 05.00 น.นายณัตถพันธุ์ คลองรอด นศ.ชั้นปีที่ 1 คณะวิศวกรรมศาสตร์และสถาปัตยกรรมศาสตร์ สาขาเทคโนจิสติกส์ นอนจมกองเลือด เสียชีวิตอยู่ภายในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย หลังการสอบสวนทราบภายหลังว่าผู้ก่อเหตุในครั้งนี้เป็นฝีมือของนักศึกษาสถาบันเทคโนโลยีปทุมวันที่ขี่ จยย.และใช้อาวุธปืนยิงเข้ามาภายในสถาบัน จนทำให้มีผู้เสียชีวิต แม้จะสามารถจับคนร้ายที่ร่วมกันลงมือได้แล้ว 1 ราย แต่ยังเหลืออีก 2 รายที่ยังหลบหนี
มาวันที่ 12 ม.ค.53 เวลา 11.00 น. สองคนร้ายควบ จยย.กราดยิงนักศึกษาเทคโนฯ ปทุมวัน ขณะเดินบนฟุตปาธหน้าสถาบัน ทำให้มีนักศึกษาปทุมวันบาดเจ็บ 3 ราย โดยกล้องวงจรปิดสามารถจับภาพได้ขณะที่คนร้ายก่อเหตุ จนเจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามสืบพบว่าจยย.ที่คนร้ายใช้เป็นของนักศึกษาอุเทนถวาย โดยคดีอยู่ระหว่างตามตัวคนร้ายมาดำเนินคดี ไม่ถึงสัปดาห์ตำรวจปทุมวันสามารถรวบ 17 นักศึกษาปทุมวัน รุมแทงช่างซ่อมมือถือห้างมาบุญครองได้รับบาดเจ็บ โดยอ้างเตรียมยกพวกตะลุมบอนกับนักศึกษาคู่อริ แต่นึกว่าช่างซ่อมมือถือเป็นนักศึกษาคู่อริจึงเข้าทำร้าย
จนกระทั่งพล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น.มีมาตราการควบคุมสถานศึกษาทั้งสองสถาบันเตรียมนำกฎหมายอั้งยี่ซ่องโจรมาใช้ในการดำเนินคดีกับรุ่นพี่ทั้ง 2 สถาบันที่ให้การสนับสนุนในการก่อเหตุทะเลาะวิวาท พร้อมประกาศ"เคอร์ฟิว" ห้ามนักศึกษาอยู่ภายในสถาบันหลังเวลา 20.00 น.และเข้าตรวจค้นสถาบันทั้งสอง โดยเริ่มที่เทคโนฯ ปทุมวัน จากการตรวจค้นพบเพียงอุปกรณ์การนอนรถเข็นของห้างเทสโก้โลตัสจำนวน 2 คัน เหล้า เบียร์ น้ำแข็ง โซดา ภายในอาคารสโมสรนักศึกษา และประทัดยักษ์ ส่วนที่อุเทนถวายก็โดนตรวจค้นเช่นกันพบอาวุธมีด 13 เล่ม กระสุนปืนสำหรับซ้อมขนาด .38 1 นัด มีดคัตเตอร์ 1 เล่ม ประทัดยักษ์ 7 ดอก ไพ่ 2 สำรับ น้ำเต้าปูปลา 2 คู่ โซดา 1 ขวด กระป๋องเบียร์ที่ทุบจนแบน 1 กระสอบ และถุงนอน
แม้มาตราการป้องกันเหตุทะเลาะวิวาทของทั้งสองสถาบันจะถูกนำมาใช้ หรือใช้กำลังตำรวจเข้าไปตั้งกองรักษาการณ์อยู่ภายในทั้งสองสถาบันก็ตาม อาจเป็นไปได้ที่ต้องการหยุดไฟที่กำลังร้อน ให้เบาลงแค่ชั่วคราว แต่สังคมมองปัญหาที่เกิดขึ้นมันซ้ำซากจำเจ จนเอือมระอาเต็มที่กับการกระทำของทั้งสองสถาบัน ใครต่อใครหลายคนต้องมาจบชีวิตกับแค่สีเสื้อไม่เหมือน ศักดิ์ศรีของสถาบัน ที่ถูกปลังฝังมาแบบผิดๆ
สุดท้ายคนที่เสียใจที่สุดก็คือพ่อแม่ ที่ต้องร้องไห้มารับศพลูก แปลกชะมัดโตๆกันแล้วพูดคุยก็ภาษาเดียวกัน ชื่อนำหน้าก็เป็น"นาย"อยู่บนแผ่นดินเดียวกันที่ชื่อ"ไทย" รักเคารพ"พ่อหลวง"องค์เดียวกัน แต่ใยมาย่ำยีกันเองถึงเลือดตกยางออก ฤาจะให้ต้องงัดมาตราการเด็ด"ยุบ"ทิ้งทั้งสองสถาบันจะดีไหมจะได้หมดปัญหาจะได้ปิดตำนานศึก"ปทุมวัน-อุเทน"และเหลือไว้เป็นความทรงจำที่(ไม่)น่าจำอีกต่อไป.
"หนุ่มน้อย"
เขาเดินเข้าออกในซอยทุกวัน เพื่อนฝูงทุกคนต่างรักใคร่เขา
ทุกๆ ตอนเช้าแต่งตัวไปเรียน ไม่เคยจะเกจะขาด
พ่อแม่ภูมิใจ มีลูกผู้ชายเอาการเอางานเอาเรียน
ก็ชีวิตนี้ดั่งไม้ใกล้ฝั่ง หวังพึ่งพาลูกชายคนเดียว
โอ.โฮ๊ะ.โอ...เจ้าเด็กหนุ่มของพ่อ... โอ.โฮ๊ะ.โอ...เจ้าเด็กหนุ่มของแม่
ตกเย็นเลิกเรียนกลับบ้านตามเคย ห้อยโหนรถเมล์อย่างเก่า
คิดถึงกับข้าว บนจานใบเก่ามีแม่กับพ่อล้อมวง
แต่แล้วทันใด โลกมืดดับไป มีสัตว์ร้ายมองดูคล้ายว่าเป็นคน
ทำร้ายร่างกายรุมตีจนตาย แล้วสลายร่างหายในหมู่คน
พ่อแม่รู้ข่าวร้ายร่ำร้องแทบวางวายกลิ้งเกลือกลงกับกองเลือดของลูก
ลูกฉันทำอะไร เขายังไม่ควรตาย หนุ่มน้อยผู้มีอนาคตไกล
แค่สีเสื้อไม่เหมือนคำสอนแต่ปางไหน นี่สีใครนั่นสีมึง นี่สีกู
ความหวังพังทลายแต่นี้จะอยู่อย่างไร เพราะหัวใจเพียงดวงเดียวแหลกสลาย
ตั้งแต่บัดนี้ ไม่มีอีกแล้ว เด็กหนุ่มคนดีประจำซอย
พ่อแม่ก็หายครอบครัวสลาย ไม่สายทุกคนก็ลืม
เนื้อร้องในบทเพลง "หนุ่มน้อย" ของ พงษ์สิทธิ์ คำภีร์ น่าจะสะท้อนภาพศึกช่างกลปทุมวันกับช่างก่อสร้างอุเทนถวายได้เป็นอย่างดี