xs
xsm
sm
md
lg

“บี๋ สวิช” พึ่งศาลฟ้องแก๊งสาวปริญญาโทโกงเงิน 8 ล้าน

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

นายสวิช หรือบี๋ เพชรวิเศษศิริ นักแสดงและพิธีกร ช่อง 7 สี เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส. พัสวี น้ำหวาน พยัคฆบุตร หรือมะกรวัฒนะ และนางช้องมาศ เทพาศักดิ์ เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานฉ้อโกงทรัพย์
“บี๋ สวิช” นักแสดงชื่อดัง ขึ้นศาลเบิกความฟ้อง “น้ำหวาน พัสวี” กับพวก หลอกลงทุนขายสลากหวย ร่วม 8 ล้าน ได้คืนมาแล้ว 3 ล้านบาท ยอมรับหลงเชื่อเพราะภาพลักษณ์ดี จบโทจากอังกฤษ ทำธุรกิจค้าที่ดิน เบื้องต้นศาลนัดฟังคำสั่งรับฟ้องหรือไม่ 9 ก.พ.นี้

วันนี้ (18 ม.ค.) ที่ศาลแขวงพระนครเหนือ ถ.รัชดาภิเษก เวลา 13.30 น. ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้องคดี หมายเลขดำ อ.2335/2552 ที่นายสวิช หรือบี๋ เพชรวิเศษศิริ นักแสดงและพิธีกร ช่อง 7 สี เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.พัสวี น้ำหวาน พยัคฆบุตร หรือมะกรวัฒนะ และนางช้องมาศ เทพาศักดิ์ เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานฉ้อโกงทรัพย์

โดยวันนี้ นายบี๋ สวิช เดินทางมาเบิกความด้วยตนเองระบุว่ารู้จักกับ น.ส.พัสวี จำเลยที่ 1 เมื่อประมาณเดือน ก.พ.52 ทางอินเทอร์เน็ต โดยแนะนำตัวว่าชื่อน้ำหวาน อายุ 26-27 ปี จบการศึกษาระดับปริญญาโทจากประเทศอังกฤษ 2 ใบ และทำธุรกิจค้าเพชร เช่าอสังหาริมทรัพย์ ที่ดิน โรงงานต่างๆ มีทรัพย์สินเป็นเงินสด 50 ล้าน จากนั้นติดต่อกันทางโทรศัพท์กระทั่งเดือน เม.ย.52 จึงนัดพบกันโดยจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์เบนซ์ไปรับที่บ้านพักของโจทก์ เพื่อไปทานอาหารที่ร้านย่านทองหล่อ ซึ่งพฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวเป็นการสร้างภาพให้น่าเชื่อถือ โดยโจทก์และจำเลยที่ 1 ได้ติดต่อเรื่อยมา ต่อมาจำเลยที่ 1 เคยพาโจทก์ไปบ้านพักที่ ซ.ลาดพร้าว 101 ด้วยพร้อมบอกว่าถ้าขายบ้านได้จะมีเงินเพิ่มอีก 20 ล้านบาท ซึ่งระหว่างเป็นเพื่อนกันจำเลยที่ 1 บอกว่ารู้จักกับนายพลคนหนึ่งพร้อมนำภาพถ่ายมายืนยัน ได้แนะนำโจทก์ให้รู้จักนางช้องมาศ จำลยที่ 2 อ้างว่าเป็นเจ้าของธุรกิจปั๊มน้ำมัน และรีสอร์ต ได้รับโควตาการขายสลากกินแบ่งรัฐบาล สลากหวยออนไลน์จากรัฐบาล ซึ่งรับสลากมาในราคา 73-74 บาท โดยจะขายได้ในราคา 80-84 บาท จะมีกำไร 9% ที่จะแบ่งกำไรให้ 3 ส่วน

ส่วนแรกให้นายพล ส่วนที่สองแบ่งให้จำเลยที่ 1-2 ส่วนที่สามแบ่งให้ผู้ร่วมลงทุนที่จะจ่ายเงินปันผลทุกวันที่ 15 และ 20 ของทุกเดือน ซึ่งโจทก์หลงเชื่อจำเลยที่ 1 ที่ชักชวนให้ลงทุน ซึ่งจ่ายเงินร่วมลงทุนครั้งแรกวันที่ 10 พ.ค.52 จำนวน 2 ล้านบาท โดยโจทก์ถอนเงินจากบัญชีจากธนาคารไทยพาณิชย์ กสิกรไทย และกรุงไทย รวม 3 บัญชี นำไปมอบให้จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 1 นำเงินสดเข้าบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาคริสตัลพาร์ค

จากนั้น วันที่ 22 พ.ค.52 จำเลยที่ 1 โทรศัพท์มาแจ้งโจทก์ว่า หากมีปัญหาเรื่องเงินสามารถเบิกจ่ายเงินปันผลล่วงหน้าได้ ขณะนั้นโจทก์มีความจำเป็นต้องใช้เงิน จึงเบิกเงินได้มา 1.2 แสนบาท จึงทำให้รู้สึกมั่นใจมากขึ้นกับการลงทุน ต่อมาจำเลยที่ 1 บอกกับโจทก์ว่า จำเลยที่ 2 ได้รับมรดกมากว่า 100 ล้านบาท ซึ่งจะนำมาลงทุนซื้อสลากอีก แต่จะตัดชื่อผู้ร่วมทุนเก่าทั้งหมดคงเหลือเพียงจำเลยที่ 1 เนื่องจากจำเลยที่ 1 ให้การช่วยเหลือกันมานาน ขณะที่จำเลยที่ 1 บอกโจทก์ว่าจะลงทุนงวดสุดท้าย แล้วจะลงทุนเท่าใดก็ได้ซึ่งโจทก์เห็นว่ามีรายได้สูงและโจทก์ต้องการนำไปสร้างธุรกิจ จึงตัดสินลงทุนเพิ่มอีก 6 ล้านบาท วันที่ 8 มิ.ย.52 จึงโอนเงินเข้าบัญชีจำเลยที่ 1 รวมเงินลงทุนเดิมเป็นเงินทั้งสิ้น 8 ล้านบาท

ต่อมาวันที่ 19 มิ.ย.52 จำเลยที่ 1 นำหนังสือสัญญากู้ยืมเงินมาให้โจทก์ ซึ่งระบุว่าผู้กู้คือจำเลยที่ 2 แต่ผู้ให้กู้คือจำเลยที่ 1 ดำเนินการแทนตัวโจทก์ ซึ่งสงสัยว่าเหตุใดไม่ให้โจทก์เป็นผู้ให้กู้ จำเลยที่ 1 อธิบายว่าการลงทุนเรื่องนี้ต้องผ่านจำเลยที่ 1 เท่านั้น ต่อมาอีก 1 สัปดาห์โจทก์จึงโทรศัพท์ถึงจำเลยที่ 1 ขอเงินคืน 6 ล้านบาท เพราะต้องการนำไปลงทุนร้านหนังสือ ทำคาร์แคร์ และสนามฟุตบอล ซึ่งจำเลยที่ 1 ยอมเงินคืนให้ ทำให้ยิ่งมั่นใจว่าบริหารเงินจริง แต่หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 พยายามโทร.มาชักชวนโจทก์ว่าขณะนี้เศรษฐกิจไม่ดี การลงทุนธุรกิจใดไม่ดีเท่าการลงทุนซื้อสลาก โจทก์จึงตัดสินใจโอนเงินกลับให้จำเลยที่ 1 อีก 3 ล้านบาทในวันที่ 8 ก.ค.52 หลังจากนั้นโจทก์พยายามให้จำเลยที่ 1 แก้สัญญากู้ยืมฉบับจากตัวเลขเงิน 8 ล้านบาท เป็น 5 ล้านบาท แต่ติดต่อไม่ได้ จำเลยที่ 1 อ้างว่ายุ่งบ้าง หรือวางสายไปเลย แต่ที่สุดโจทก์ได้นำสัญญาฉบับเก่าคืนให้จำเลยที่ 1 แต่ไม่ได้รับสัญญาใหม่กลับมา

ต่อมาจำเลยที่ 1 ส่งข้อความว่าการลงทุนสลากขาดทุน จะคืนให้คนละ 10% อยากรู้รายละเอียดโทร.สอบถามได้ แต่เมื่อโทร.กลับไปจำเลยที่ 1 กลับบ่ายเบี่ยงให้สอบถามจำเลยที่ 2 แต่ไม่ได้รับคำตอบ กระทั่งไปปรึกษาทนายความอาสาของฝ่ายช่วยเหลือกฎหมายของสำนักงานอัยการสูงสุด ได้ทำหนังสือสอบถามถึงสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เมื่อวันที่ 3 พ.ย.52 ตรวจสอบว่าจำเลยทั้งสองได้รับโควตาจริงหรือไม่ ปรากฏว่าไม่มีชื่อได้รับโควตา และเมื่อโจทก์มีโอกาสได้เจอกับนายพลที่จำเลยที่ 1 อ้างชื่อแล้ว สอบถามเรื่องดังกล่าวปฏิเสธว่าไม่รู้จัก และไม่เคยยุ่งเกี่ยวเรื่องสลาก จึงรู้ว่าถูกจำเลยทั้งสองหลอก

ขณะที่ทนายความของ น.ส.พัสวี และนางช้องมาศ พยายามซักค้านนายบี๋ สวิช ว่าคบหากับ น.ส.พัสวี เป็นแฟนหรือไม่ นายบี๋ สวิช ตอบยืนยันว่า คบหาจำเลยที่ 1 ในฐานะเพื่อนเท่านั้น ขณะที่การลงทุนจำเลยที่ 1 กำชับไม่ให้นำเรื่องนี้ไปบอกเพื่อนของจำเลยที่ 1 ที่ร่วมลงทุนนับ 10 คน และแม้ว่าโจทก์จะเคยเดินทางไปเที่ยวภูเก็ต กับจำเลยที่ 1 ก็ไปในฐานะเพื่อนและมีเพื่อนอีกหลายคนที่ร่วมเดินทางไปด้วย

ภายหลังนายบี๋ สวิช เบิกความเสร็จสิ้นแล้ว ทนายความยังได้นำพยานเข้าไต่สวนมูลฟ้องอีก 2 ปาก เมื่อศาลไต่สวนพยานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ได้นัดฟังคำสั่งว่าจะประทับรับฟ้องคดีหรือไม่ในวันที่ 9 ก.พ.นี้ เวลา 09.00 น.

ขณะที่ นายบี๋ สวิช กล่าวว่า ก่อนนำคดีมาฟ้อง ตนถูกข่มขู่จากคู่กรณีในคดีบุกรุกบ้าน น.ส.พัสวี โดยเวลาเดินทางไปไหนตนต้องระวังตัวมากขึ้น ขณะที่ส่วนตัวเชื่อมั่นความยุติธรรมของศาล เมื่อนำคดีมาฟ้องแล้วก็หวังว่าจะได้เงินคืน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีที่พนักงานสอบสวน สน.โชคชัย รับร้องทุกข์จาก น.ส.พัสวี ว่านายบี๋ สวิช บุกรุกบ้าน น.ส.พัสวี ซึ่งเกิดขึ้นเดือน ก.ย.52 ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการส่งสำนวนให้พนักงานอัยการสั่งคดี
กำลังโหลดความคิดเห็น