อัยการเตรียมนัดประชุมร่างคำแถลงปิดคดียึดทรัพย์ “ทักษิณ” 7.6 หมื่นล้าน ให้ทันภายในกำหนด 30 วัน ตอกย้ำให้ศาลเห็นพฤติการณ์กระทำผิดของ “ทักษิณ” อย่างชัดเจน เผยมั่นใจตั้งแต่วันแรกฟ้องแล้ว รอลุ้นคำพิพากษาเท่านั้น
วันนี้ (13 ม.ค.) นายนันทศักดิ์ พูลสุข อธิบดีอัยการฝ่ายช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย หนึ่งในคณะทำงานอัยการรับผิดชอบคดี กล่าวถึงกรณีที่หลังจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดฟังคำพิพากษาคดียึดทรัพย์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และบุคคลใกล้ชิด มูลค่า 7.6 หมื่นล้านบาท ในวันที่ 26 ก.พ.นั้นว่า คณะทำงานอัยการจะนัดประชุมร่วมกันเพื่อร่างคำแถลงปิดคดีส่งต่อศาลฎีกาฯภายในระยะเวลา 30 วัน ตามที่ศาลกำหนดนัด โดยแนวทางการร่างคำร้องจะตอกย้ำให้ศาลเห็นภาพพฤติการณ์กระทำผิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ตามที่อัยการได้เคยบรรยายไว้ในคำฟ้องตั้งแต่แรกรวม 5 ประเด็น อาทิ การเปลี่ยนแปลงค่าสัมปทานโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นภาษีสรรพสามิต การปล่อยกู้เงินจำนวน 5,000 ล้านบาท ให้ประเทศพม่า ซึ่งเป็นการใช้อำนาจหน้าที่ในตำแหน่งเอื้อประโยชน์ให้ตนเองและพวกพ้องจนร่ำรวยผิดปกติ ทำให้รัฐเสียหายและยักย้ายถ่ายเทไปไว้ในความครอบครองของผู้คัดค้าน 22 ราย ซึ่งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.)ได้ตรวจสอบและยึดอายัดไว้แล้ว โดยใช้เวลาว่าความคดีนี้มาปีเศษ ส่วนตัวมั่นใจในพยานหลักฐานที่ได้เคยเสนอต่อศาลไปแล้วในชั้นพิจารณาไต่สวน แต่ศาลจะมีคำพิพากษาอย่างไรเป็นดุลยพินิจขององค์คณะ
นายนันทศักดิ์กล่าวว่า หากศาลฎีกาฯ มีคำพิพากษาให้ยึดทรัพย์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือผู้คัดค้านรายใดแล้วตามขั้นตอนกฎหมาย ศาลก็จะออกหมายบังคับคดีให้เจ้าของทรัพย์ส่งทรัพย์สินที่อยู่ในความครอบครองส่งมอบทรัพย์นั้น ส่วนในกรณีที่ทรัพย์อยู่ในความครอบครองของสถาบันการเงินก็จะส่งหมายไปยังสถาบันการเงินนั้นส่งมอบให้ โดยมีกระทรวงการคลังเป็นผู้ดำเนินการติดตามยึดทรัพย์ตามคำพิพากษาของศาล ซึ่งสามารถบังคับคดีได้ทันที เพราะถือว่าคดีสิ้นสุดแล้ว เจ้าของทรัพย์คงไม่สามารถไปฟ้องเป็นคดีอื่นได้อีก เพราะศาลได้เปิดโอกาสให้เจ้าของทรัพย์ได้ชี้แจงการได้มาซึ่งทรัพย์สินนั้นในชั้นพิจารณาก่อนที่จะมีคำพิพากษาแล้ว
“คดีนี้อัยการมั่นใจตั้งแต่ยื่นคำร้องแล้ว แต่อย่างไรก็ตามต้องรอดูว่าศาลจะมีคำพิพากษาในคดีอย่างไร จะพิจารณาว่าทรัพย์สินรายการใด ที่อยู่ในชื่อของผู้คัดค้านคนใด ว่าเป็นทรัพย์สินของ พ.ต.ท.ทักษิณ และภรรยาหรือไม่ และจะมีคำสั่งเกี่ยวกับทรัพย์สินนั้นอย่างไร ซึ่งเป็นดุลยพินิจขององค์คณะ” นายนันทศักดิ์กล่าว